วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

อันดับที่ 1

2001: A Space Odyssey
 {Stanley Kubrick}, 1968


เรื่องย่อ

เริ่มต้นด้วยการแช่ภาพสีดำขึ้นบนจอ เป็นดั่งการเชื้อเชิญ และทำให้ผู้ชมเสมือนหลุดออกจากพันธนการทั้งปวง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าง ปล่าวเปลี่ยว และน่าค้นหา ต่อมาจึงเป็นการขึ้นชื่อหนังด้วยการปรากฎภาพของโลกที่เราอาศัยอยู่ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกัน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่บทที่หนึ่ง

The Dawn of Man (อรุณรุ่งของหมู่มวลมนุษย์)

เป็นเรื่องราวของกลุ่มวานร บรรพชนของพวกเรา ที่ดั้งเดิมจัดอยู่ในกลุ่มพวกกินพืชเช่นเดียวกับสัตว์ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับสมเสร็จ พวกวานรอาศัยอยู่สถานที่ที่มีแหล่งน้ำท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุใท้องทุ่งหญ้าทะเลทรายในแอฟริกา เหตุการ์ต่างๆดูเป็นกิจวัตรปกติ จนเมื่อมีเสือดาวมาคร่าชีวิตของสมาชิกตัวหนึ่งไป พวกเขาได้รับรู้ว่า ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ได้กินพืชเช่นเดียวกับพวกตน ต่อมามีการรุกรานของวานรีกกลุ่ม ทำให้พวกเขาต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่น ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนจากสภาพความสงบสุขการเป็นความเงียบเหงาเศร้าสร้อย จนเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาค้นพบกับแท่งหินสีดำ รูปร่างแปลกตาอยู่ตรงหน้า ราวกับมีใครมาตั้งไว้อย่างจงใจ อย่างไม่ต้องสงสัย ในยุคสมัยเมื่อสี่ล้านปีที่แล้ว แม้ปัญญาชนอย่างมนุษย์ยังไม่ได้วิวัฒนาการถึงขั้นสูง คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิ่งมีชีวิตที่มีพลังภูมิปัญญาเหนือกว่า และรุดหน้าไปกว่าบรรพบุรุษเรา

หลังจากนั้นเสมือนว่าแท่งหินไปดลจิตดลใจสร้างแรงขับบางอย่างแก่หมู่วานรที่เคยยอมศิโรราปให้ลุกขึ้นต่อสู้และกลับไปแย่งชิงดินแดนของตนมาให้ได้ แท่งหินนั้นสร้างทั้งความกล้า ในขณะเดียวกันมันก็มอบความโหดร้ายให้กับบรรพชนของเรา และมันได้แฝงเร้นในดวงจิตเรามาเนิ่นนาน รอเมื่อเราไม่ได้สติและไม่อาจควบคุม มันก็จะออกมาอาละวาด และสร้างความเสียหายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หมู่วานรเริ่มฆ่าสัตว์ที่คุ้นเคย และมีกระดูดเป็นอาวุธ ภาพถูกตัดแบบแมทช์คัท เมื่อเจ้าวานรตัวหนึ่งโยนกระดูกขึ้นบนฟ้าเพื่อเป็นการขับไล่และแสดงถึงความมีอำนาจในการยึดครองพิ้นที่ กระดูกถุกนำไปเปรียบเทียบเช่นเดียวกับยาอวกาศในยุคสมัยปัจจุบัน



ภาพตัดมาโดยไม่ได้ขึ้นชื่อตอนใหม่ เป็นเหมือนการบอกว่าเรื่องราวเมื่อสี่ล้านปีก่อนกับปัจจุบัน ก็คือเรื่องเดียวกัน ซึ่งนั่นถือเป็นการตัดต่อช่วงเวลาที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนับจากวันนั้น วันที่เหล่าวานรเกิดบ้าคลั้งจนถึงวันนี้ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็กินเวลากว่าสี่ล้านปี ราวกับโผล่มาอีกมิติ อันเป็นเรื่องราวของ Dr. Heywood R. Floyd ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยานอวกาศแพนแอม เพื่อที่เขาจะไปศึกษาการค้นพบ แท่งหินสีดำที่ฐานคลาเวียสบนดวงจันทร์ นวัตกรรมต่างๆบนยานลำนั้นล้วนรุดหน้าไปกว่าบนพื้นผิวโลกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำ Facetime กับคนในครอบครัว (ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติของเราในสมัยนี้) ระบบ Voice-Over ซึ่งเราสามารถสนทนากับเครื่องจักรเพื่อยืนยันตัวตนได้ หรือจะเป็นรองเท้าซึ่งเราสามารถยึดอยู่กับพื้นและไม่หลุดลอยไปเพราะสภาพไร้นำ้หนัก ที่ยานแพนแอม ฟลอยด์มีโอกาสได้คุยกับนักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตเกี่ยวกับเรื่องราวโรคระบาดและสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่ฐานคลาเวียส แต่ฟลอยด์ปฎิเสธการพูดถึง และทิ้งปริศนาให้คาใจแก่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียด เมื่อเขาไปถึงดวงจันทร์และไปพบกับแท่งหินประหลาด ขณะที่พวกเขากำลีงตื่นเต้นและเก็บรูปเอาไว้เป็นที่ประทับใจ ก็มีเสียงประหลาดหวีดร้องออกมาจากแท่งหิน สร้างความกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยทั้งต่อฟลอยด์ ผองเพื่อนเขา และเหล่าคนดู

Jupiter Mission (ภารกิจดาวพฤหัสฯ)
จู่ๆ เราก็มาโผล่เมื่อเหตุการณ์ได้พูดถึงเรื่องราวสิบแปดเดือนหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น บนยานอวกาศ Discovery One ของสหรัฐฯ (หากลองสังเกตยานลำนี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ประกอบด้วยหัว ตัวและขาที่ไว้ขับเคลื่อนยาน) คนห้าคนซึ่งสามในห้าถูกทำให้อยู่ในสภาพไร้สติและหลับไหล เพื่อประหยัดการใช้จ่ายวัตถุดิบต่างๆบนยาน เหลือเพียงนักบินสองนายได้แก่ Dr. David Bowman และ Dr. Frank Poole กับปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า HAL 9000 เขาเป็นเสมือนลูกเรือคนที่หก ที่ทำหน้าที่ดูแลสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างบนยานลำนั้น จนเมื่อทั้งเดฟและแฟรงค์ค้นพบว่าฮาลที่อ้างว่าตนไม่เคยประมวลผลผิดพลาด และกล่าวหาว่า เพราะมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มันผิดพลาด ทั้งคู่แอบปรึกษากันอย่างลับๆ และวางแผนกับว่าจะปิดระบบปฎิบัติการนี้
Intermission (พักครึ่ง) [ซึ่งตอนนี้ก็ปรากฎภาพจอดำและดนตรีเช่นเดิม คงเป็นช่วงให้เราได้ขบคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา]
แต่จนแล้วจนรอดฮาลก็แอบล่วงรู้ถึงแผนการที่กำลังจะเกิดขึ้น อันนำมาซึ่งความสูญเสียของลูกเรือ มีเพียงเดฟที่รอดชีวิตกลับมาได้ เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วการเดินทางในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่มากกว่าการไปถึงที่ดาวพฤหัสฯ แต่เป็นเพื่อเมื่อสิบแปดเดือนก่อนมีสัญญาณวิทยุปล่อยออกมาจากแท่งหินซึ่งมีเป้าหมายมาจากดาวพฤหัสฯ เขาจึงตกสภาพเป็นตัวแทนของเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้สงสัยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ดาวดวงนั้นกันแน่ เมื่อเขาไปถึงและได้ใช้ยานลำเล็กเพื่อออกไปสำรวจพื้นผิวบนดาว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

Jupiter and Beyond the Infinite (ดาวพฤหัส และจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด)
เดฟเดินทางข้ามมิติและไปพบกับดินแดนที่แปลกตา (อันที่จริงก็เหมือนภูมิประเทศบนโลกเรา เพียงแต่ราวกับถูกย้อมสีสัน) ทันทีทันใดเดฟก็มาปรากฎที่ห้องพักสไตล์นีโอคลาสสิคคล้ายกับในโรงแรม ณ แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาเห็นตัวเองค่อยๆแก่ลง และท้ายที่สุดก็นอนบนเตียงอย่างไร้ซี่งเรี่ยวแรง เขาพบกับแท่งหินดำอยู่ปลายเตียง เขาพยามยามเอื้อมจะเอามือไปแตะ และแล้วภาพก็ตัดมา เมื่อเดฟในวัยชราใกล้สิ้นลมกลายเป็นเด็กทารกที่ถูกห้อมล้อมด้วยลำแสง และเขาก็จ้องมองไปยังโลกใบเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่

สัญญะหรือโมทิฟที่พอจะหยิบจับได้

ฉากมืดในตอนแรก พลันให้เรานึกถึงเรื่องราวการสร้างตะวันและเดือนใน The book of Genesis ที่ว่าในตอนแรกโลกยังไม่มีดวงอาทิตย์ แล้วพระเจ้าก็บอกให้มีดวงอาทิตย์ ดังเช่นในหนังที่ตอนแรกดำมืดแล้วจู่ๆ ก็มีแสงอาทิตย์และเราก็เห็นโลกและดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์ เป็นตัวแทนของการรู้แจ้ง เห็นจริง เข้าใจและรับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ เอื้อเฟื้อ มีความเมตตา และรู้จักควบคุมสัญชาติญาณร้ายของตนเองได้ นั่นคือไม่เห็นแก่ตัว

ดวงจันทร์ ต้องขอกล่าวก่อนว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างในช่วงสงครามเย็น กล่าวคือ สงครามอย่างลับๆ ระหว่างสองมหาอำนาจทางความคิดนั่นคือ สหรัฐฯ (ทุนนิยม) และโซเวียต (สังคมนิยม) สองชาติต่างแข่งขันกันเพื่อชักชวนให้ประเทศต่างๆเข้ามาเป็นพวกพ้องของตนเองผ่านโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นั่นคือการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของตน และเปลี่ยนให้ประเทศต่างๆมีความเชื่อในแบบเดียวกับตน หนึ่งในวิธีการที่สองประเทศใช้คือ การห้ำหั่นแย่งชิงพื้นที่ในอวกาศ เช่น การไปถึงดวงจันทร์ ดังนั้นดวงจันทร์จึงแทนความหมายตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ นั่นคือความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์​ ล้างผลาญ แย่งชิงความดีเด่นกัน เพื่ออำนาจและการชื่นชมยินดีให้แก่ตนเอง

แท่งหินสีดำ (The Monolith) ความจริงแล้วตั้งแต่ที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย ก็มีการตีความแท่งหินไปต่างๆนานาหลากหลาย โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า มันป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่มีสองด้าน หากลองสังเกตดู จะมีด้านที่เป็นดวงจันทร์กับด้านที่เป็นดวงอาทิตย์ และในสองครั้งที่หินสีดำปรากฎ (ไม่รวมในห้องของเดฟ) จะถ่ายแบบ low angle และเห็นดวงอาทิตยือีกด้านของหิน นั่นหมายถึง ตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าวานรที่รู้จักใช้อาวุธเพื่อฆ่าแกงเพื่อนสายพันธุ์เดียวกันหรือมนุษย์บนดวงจันทร์ที่กำลังชื่นชมยินดีกับการค้นพบและไปเหยียบดวงจันทร์ของตนเองเมื่อสี่ล้านปีต่อมา ต่างก็เลือกจุดยืนด้านดวงจันทร์ นั่นคือ เราต่างอยู่ใต้การบงการของสัตว์ร้ายในจิตใจมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง แท่งหินเป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา มันจึงแทนถึงภาวะที่ตัวละครคิดตัดสินใจระหว่างด้านดีหรือด้านชั่วร้าย


เราสังเกตจากในหนังว่ายิ่งเวลาผ่านไป เรายิ่งมีความเป็นมนุษย์เหลือน้อยลง ตั้งแต่อดีตกาลที่บรรพชนเราเป็นวานรอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกินพืช ต่อมาเจอแท่งหิน (การตัดสินใจครั้งที่หนึ่ง) เลือกด้านเลวร้าย มาจนถึงบนยานอวกาศแพนแอมเรายังพอมีความดีงามหลงเหลือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังคงอยู่ใต้การควบคุมของเรา บทสนทนาระหว่างพ่อลูกยังดูชื่นมื่น อาหารการกินก็ยังไม่ต่างจากบนพื้นดินมากเท่าไหร่ เพียงแต่ต่างกันที่บรรจุภัณฑ์ แต่พอมาบนยาน Discovery One เราแทบไม่มีความดีงานหลงเหลือจับมนุษย์ให้จำศีลราวกับสัตว์ บทสนทนาระหว่างพ่อแม่ลูก ก็นิ่งเฉย ไร้อารมณ์ (ในฉากนั้นถูกเน้นย้ำด้วยแสงแดดปลอม แสดงถึงดวงอาทิตย์เทียม จิตใจคนมีด้านดีงามที่จอมปลอม) อาหารเหลวสีสันแปลกตาที่แตกต่างจากที่ผ่านมาชัดเจน และปัญญาประดิษฐ์มีความชาญฉลาดมากกว่าคน (out-of-control)

ฮัล ปัญญาประดิษฐ์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งมีความชาญฉลาดมากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่กลับหยิ่งยะโสทะนงตน และไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตน เพราะแท้จริงแล้วฮัลก็เป็นผลผลิตมาจากมนุษย์นั่นเอง ซึ่งมนุษย์ก็มีความผิดพลาด (ถูกฮัลตอกกลับในคราวที่เดฟและแฟรงค์ติฮัลว่าผิดพลาด) อีกนัยหนึ่งก็หมายถึงว่าในยุคสมัยนี้ มนุษย์ได้ให้ความสำคัญและยกยอให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ยอมที่จะสละชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อให้เทคโนโลยียังคงอยู่ (เห็นได้ชัดจากการแย่งชิงพื้นที่บนอวกาศของสองมหาอำนาจ และสงครามที่เกิดอันเนื่องมาจากสงครามเย็น เช่น สงครามเกาหลี หรือสงครามเวียตนาม)

Discovery One อุปมาอุปมัยเหมือนโลกใบนี้ที่เราอยู่อาศัย ประกอบด้วยอุดมการณ์สองขั้วที่ดำรงอยู่ โดยมีเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศยกไว้เหนือหัว คนสามคนที่หลับไหลจึงเป็นตัวแทนของโลกที่สาม (อันได้แก่อเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียบางส่วน) ที่ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และตกเป็นเหยื่อของเคราะห์กรรมที่สองประเทศได้ทำไว้ สียานและชุดอวกาศก็ชวนให้เราคิดถึงสีธงชาติของอเมริกา (นำ้เงิน แดง ขาว) กับโซเวียต (แดง ส้ม)
การสำรวจหรือค้นพบดาวพฤหัสฯ ของเดฟ แสดงถึงการยังไม่อาจคุมจิตใจตัวเองได้ นั่นคือยังมีจิตใจที่ต้องการเอาชนะโซเวียต (ใครยิ่งค้นพบอะไรในอวกาศได้มากกว่าก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น)

การหลุดเข้าไปในมิติ หลังจากเห็นแท่งหินสีดำลอยอยู่บนฟ้า จึงเป็นเหมือนการที่เดฟได้กลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง
ห้องที่ตบแต่งสไตล์นีโอคลาสสิค สไตล์นีโอคลาสสิคเป็นศิลปะภายหลังจากยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) นั่นคือ ยุคที่มีการชักชวนให้ผู้คนเลิกสนใจในศาสนา เลิกศรัทธาในพระเจ้า และหันมาพัฒนาทางด้านวิทยาศาส นั่นทำให้คนเรามีแต่ความเจริญด้านวัตถุ แต่ด้านจิตใจกับถอยหลังลดน้อยลง จึงหมายถึงว่า เดฟยังไม่อาจลุล่วงเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ได้

ในฉากที่เดฟยื่นมือเข้าไปหาแท่งหินดำในตอนท้าย คล้ายกับอดัมในภาพของมิเกลันเจโล ชื่อ The Creation of Adam ซึ่งในภาพนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของอดัม มนุษย์ที่ศรัทธาในความดีงาม เช่นเดียวกับเดฟที่บัดนี้เขาได้เข้าใจและซาบซึ้งในพระเจ้า ต่อมาเป็นภาพของเด็กทารก จึงแสดงถึงว่าเขาได้เกิดใหม่ และเข้าใจถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์แล้ว


อันดับที่ 2



Contact

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย  โจดี ฟอสเตอร์
นักวิทยาศาสตร์สาวผู้หนึ่งเพียรพยายามที่จะพิสูจน์ว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่อีกกาแล็คซีหนึ่ง เธอส่งสัญญาณคลื่นออกไปนอกโลก  และเฝ้ารอการตอบกลับของมนุษย์ต่างดาว  ต่อมาเธอสามารถจับและบันทึกคลื่นเสียงความถี่พิเศษที่ตอบกลับเธอได้  เธอจึงติดต่อขอใช้ยานอวกาศกับองค์การยานอวกาศแห่งชาติ  เพื่อทดลองเดินทางไปสู่กาแลคซีนั้น  เป็นการพิสูจน์ว่า  ยังมีมนุษย์ต่างดาวอยู่อีกกาแลคซีหนึ่ง  และเธอกำลังจะเดินทางไปหาเขาตามคำเชิญชวน
การทดลองเดินทางของเธอเป็นข่าวโด่งดังที่ประชาชนสนใจมาก  มีการเตรียมการบันทึกผลการเดินทางอย่างเต็มที  ทั้งการบันทึกเสียงของผู้เดินทาง  บันทึกภาพถ่ายในห้องโดยสาร  และถ่ายภาพวิดีโอการปล่อยยาน
แต่เมื่อถึงเวลาทำการปล่อยยานจริง  เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น  ยานเกิดขัดคล่อง  และตกลงสู่ทะเลโดยยังไม่ได้ออกเดินทางด้วยซ้ำ
เธอถูกช่วยชีวิตออกมาจากยาน  และเมื่อเธอได้สติดีแล้ว  เธอพยายามเล่าให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนรับรู้ว่า เธอได้เดินทางไปถึงกาแล็คซีนั้นแล้ว  โดยวาปผ่านรูหนอนกาลเวลาหลายทอดจนไปถึงอีกกาแลคซีหนึ่ง  ซึ่งมีทะเลเป็นสีฟ้าสดใส  ชายหาดที่มีทรายขาวเป็นประกายสวยงามดุจดังสวรรค์  ฟากฟ้ามีดวงอาทิตย์แฝด 2 ดวง  เธอได้พบกับพ่อของเธอผู้เสียขีวิตไปตั้งแต่เมื่อเธอยังเด็ก  เธอดีใจอย่างสุดซึ้ง  แต่สุดท้ายมนุษย์ต่างดาวกลับเฉลยว่า  เขาไม่ได้เป็นวิญญาณของพ่อเธอ  แต่ได้แปลงร่างให้เป็นรูปร่างของพ่อ  เพราะอ่านจิตของเธอได้ว่าเธอใฝ่หาพ่อมาตลอดชีวิต  จึงอยากแสดงภาพที่เธออยากเห็น เพื่อสร้างความสุขให้กับเธอ  และย้ำว่าการที่เธอได้มาถึงดาวดวงนี้ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน  เคยมีมนุษย์หลายคนได้เคยเดินทางมาถึงที่นี่  เธอจะเป็นมนุษย์คนต่อไปที่จะนำพาคนอีกหลายคนมาสัมผัสที่นี่เหมือนเธอ  และอวยพรให้เธอเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอเล่าให้ฟัง  จนมีการฟ้องร้องกล่าวหาว่าเธอให้การเท็จหลอกลวงประชาชน  ถึงขนาดต้องเปิดศาลไต่สวน  ทีมปฏิบัติการปล่อยยานแสดงหลักฐานให้ศาลโดยการฉายภาพถ่ายวีดีโอการเดินทางให้เห็นว่าทันทีที่ยานอวกาศถูกปล่อยออกจากฐาน  ยานเกิดความผิดพลาดหลุดร่วงสู่ทะเลเบื้องล่างภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที  และเทปบันทึกภาพภายในยานอวกาศแสดงแต่ภาพคลื่นรบกวน  ถึงจะมีบางช่วงที่พอจะจับภาพของเธอได้  แต่การบันทึกเสียงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  และบันทึกได้เพียงช่วงเวลาสั้นมากไม่ถึง 1 นาที เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ต่างดาวจะเชิญชวนให้เธอเดินทางไปหาเขาโดยใช้เวลาไปกลับเพียง 1 นาที  และไม่ทิ้งหลักฐานการเดินทางอะไรไว้ให้เธอเลย  นักวิทยาศาสตร์สาวอ้างว่า  เป็นเพราะความเร็วมิติกาลเวลาของโลกและดาวดวงนั้นต่างกันมาก  เวลาที่เธอสูญเสียไปกับการเดินทางเดินเร็วกว่าเวลาบนโลกเป็น 1000 เท่า
                 เธอสรุปคำให้การว่า  ถึงแม้นจะไม่มีหลักฐานสนับสนุน   แต่เธอไม่สามารถหลอกลวงตัวเองได้ว่าไม่ได้ไปถึงกาแล็คซีนั้น  เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอประสบมากับตัวเองจริง ๆ
เมื่อเลิกศาลแล้ว นักวิทยาศาสตร์สาวเดินออกมาจากศาล  และต้องเผชิญหน้ากับนักข่าวจำนวนมากและฝูงชนจำนวนมหาศาล  บาทหลวงผู้เป็นเพื่อนสนิทของเธอต้องคอยป้องกันไม่ให้นักข่าวเข้ารุมสัมภาษณ์  และก่อนที่บาทหลวงผู้นี้จะก้าวเข้าไปในรถยนต์ที่นักวิทยาศาสตร์สาวเข้าไปนั่งรออยู่ก่อนแล้วเพื่อเดินทางกลับ   ได้มีนักข่าวคนหนึ่งตะโกนถามว่า  ท่านเชื่อที่เธอพูดหรือไม่
อยากถามว่า
1.     คุณเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้วหรือไม่
2.     คุณคิดว่า บาทหลวงผู้นั้นจะตอบว่า เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ
3.       คุณเชื่อเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์สาวเล่ามาหรือไม่
4.       เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดข้อใดของระบบ ISO 9001


วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

อันดับที่ 3




INTERSTELLAR อินเตอร์สเตลลาร์ ทะยานดาวกู้โลก



ในอนาคตอันใกล้ โรคพืชได้เป็นสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมถดถอยกลับไปสู่สังคมเกษตรกรรมอันล่มสลาย อดีตนักบินนาซ่า คูเปอร์ ทำไร่อยู่กับครอบครัวของเขา เมิร์ฟ ลูกสาววัย 10 ขวบของคูเปอร์เชื่อว่าห้องของเธอถูกผีสิง โดยผีพยายามจะติดต่อสื่อสารกับเธอ พวกเขาไปเจอกับอากาศยานไร้คนขับของอินเดียที่พวกเขากู้มาเพื่อเอาอะไหล่ ไม่นานพวกเขาค้นพบว่า "ผี" ของเมอร์ฟี่ก็คือสิ่งที่ทรงภูมิปัญญาที่ไม่รู้จัก ส่งข้อความเข้ารหัสมาโดยใช้คลื่นความโน้มถ่วง ทิ้งพิกัดเลขฐานสองไว้บนฝุ่น ซึ่งได้นำพวกเขาไปสู่สถานที่ลับของนาซ่า นำโดยศาสตราจารย์ จอห์น แบรนด์ ซึ่งแบรนด์เผยว่ารูหนอน ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าสร้างโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ได้เปิดออกใกล้ ๆ กับดาวเสาร์ และเป็นทางนำไปสู่ดาวเคราะห์ใหม่ ๆ ในอีกกาแล็กซี่หนึ่ง ซึ่งอาจให้ความหวังในการอยู่รอด "ภารกิจลาซารัส" ของนาซ่าได้ระบุโลกที่มีโอกาสอยู่อาศัยได้สามดวง ซึ่งโคจรอยู่รอบหลุมดำมวลยวดยิ่งที่มีชื่อว่า กาแกนทัว ได้แก่ มิลเลอร์, เอ็ดมันด์ และแมนน์ ซึ่งตั้งชื่อตามนักบินอวกาศที่ออกสำรวจพวกมัน แบรนด์ให้คูเปอร์มาเป็นผู้ขับยานอวกาศ เอ็นดูแรนซ์ เพื่อเก็บกู้ข้อมูลของนักบินอวกาศ ถ้าดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งสามารถอยู่อาศัยได้ มนุษยชาติจะตามไปด้วยสถานีอวกาศ การออกเดินทางของคูเปอร์ทำลายความรู้สึกของเมิร์ฟ


บนยานเอ็นดูแรนซ์ คูเปอร์เข้าร่วมกับลูกสาวของแบรนด์ นักเทคโนโลยีชีวภาพอมิเลีย นักวิทยาศาสตร์โรมิลลี และดอยล์ รวมทั้งหุ่นยนต์ ทาร์ และ เคส พวกเขาเดินทางไปดาวเสาร์ และเข้าไปในรูหนอนเพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวมิลเลอร์ แต่พวกเขาพบว่าดาวเคราะห์นั้นอยู่ใกล้กับกาแกนทัวมากจนกระทั่งมันประสบกับการยืดของเวลาจากความโน้มถ่วงอย่างรุนแรง แต่ละชั่วโมงบนพื้นผิวดาวจะเท่ากับเจ็ดปีบนโลก ทีมได้ลงไปที่ดาวเคราะห์ซึ่งพิสูจน์ว่าไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย เนื่องจากมันปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรตื้น ๆ และถูกรบกวนด้วยคลื่นยักษ์ ในขณะที่อมิเลียพยายามกู้ข้อมูลของมิลเลอร์ คลื่นก็กระแทกมาฆ่าดอยล์ และทำให้การออกเดินทางของกระสวยอวกาศช้าออกไป เมื่อพวกเขากลับมาที่เอ็นดูแรนซ์ เวลาก็ผ่านไปแล้ว 23 ปี

บนโลกเมิร์ฟในวัยผู้ใหญ่ซึ่งในตอนนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์นาซ่ากำลังช่วยแบรนด์แก้สมการที่จะทำให้นาซ่าปล่อยสถานีอวกาศโดยใช้แรงโน้มถ่วงได้ ในลมหายใจเฮือกสุดท้ายแบรนด์ยอมรับว่าเขาได้แก้ปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว และตัดสินใจว่าโครงการนี้เป็นไปไม่ได้ เขาปกปิดการค้นพบของเขาเพื่อรักษาความหวังให้คงอยู่ต่อไปและให้ความเชื่อมั่นกับ "แผน B" โดยใช้เอ็มบริโอแช่แข็งเดินทางไปกับเอ็นดูแรนซ์เพื่อเริ่มต้นมนุษยชาติใหม่หมด อย่างไรก็ตามเมิร์ฟสรุปว่าสมการของแบรนด์อาจใช้การได้ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมจากซิงกูลาริตี้ของหลุมดำ

ด้วยเชื้อเพลิงที่เหลือน้อยเต็มที เอ็นดูแรนซ์สามารถไปดาวเคราะห์ได้อีกเพียงดวงเดียวก่อนจะกลับโลก หลังจากการปรึกษากันอย่างตึงเครียด ทีมได้เลือกดาวเคราะห์ของแมนน์ เนื่องจากแมนน์ยังคงส่งสัญญาณอยู่ อย่างไรก็ตามพวกเขาพบว่ามันหนาวเย็นอยู่ตลอดเวลาและปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็งและไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย แมนน์ซึ่งรู้อยู่ตลอดว่าแผน B คือเป้าหมายที่แท้จริงของภารกิจ ได้ปลอมแปลงข้อมูลเกี่ยวกับความมีชีวิตของดาวเคราะห์ เพื่อที่เอ็นดูแรนซ์จะได้มาช่วยเหลือเขา แมนน์ทำให้หมวกชุดอวกาศของคูเปอร์แตกและทิ้งไว้ให้เขาตาย และหนีไปที่เอ็นดูแรนซ์บนกระสวยอวกาศ โรมิลลีถูกฆ่าโดยระเบิดที่แมนน์ติดตั้งไว้เพื่อปกปิดความลับของเขา อมิเลียช่วยเหลือคูเปอร์โดยใช้กระสวยสัมภาระอีกลำหนึ่ง โดยพวกเขามาถึงเอ็นดูแรนซ์ทันเวลาเห็นแมนน์กำลังเชื่อมต่อยานอย่างไม่ถูกต้อง แอร์ล็อกระเบิดออกและฆ่าแมนน์ และเป็นสาเหตุของความเสียหายรุนแรง แต่คูเปอร์ใช้กระสวยสัมภาระเพื่อทำให้เอ็นดูแรนซ์อยู่ในการควบคุมอีกครั้ง

ด้วยเชื้อเพลิงที่เกือบหมด คูเปอร์และอมิเลียวางแผนจะเหวี่ยงเอ็นดูแรนซ์ไปรอบ ๆ กาแกนทัวเพื่อให้อยู่บนเส้นทางไปยังดาวเอ็ดมันด์ที่อยู่อีกด้านของหลุมดำในขณะที่เวลาจะผ่านไปบนโลก 51 ปี ทาร์และคูเปอร์ปลดกระสวยของพวกเขาลงไปในหลุมดำ สละชีพตนเองเพื่อเก็บข้อมูลของซิงกูลาริตี้ และเพื่อผลักอมิเลียและเคสโดยการลดมวลของยานลง พวกเขาโผล่ออกมาในสถานที่ที่มีห้ามิติ ซึ่งเวลาปรากฏเป็นมิติของอวกาศ และโดยการใช้คลื่นความโน้มถ่วง คูเปอร์เข้ารหัสข้อมูลของทาร์เกี่ยวกับซิงกูลาริตี้ไปยังนาฬิกาข้อมือของเมอฟี่วัยเยาว์โดยใช้รหัสมอร์ส หลายทศวรรษต่อมาเธอตระหนักว่าข้อความถูกเข้ารหัสอยู่บนนาฬิกา ซึ่งทำให้เธอแก้สมการของแบรนด์ได้เสร็จสมบูรณ์เพื่อปล่อยสถานีอวกาศ

เมื่อข้อมูลถูกส่งผ่านเสร็จสิ้น บริเวณที่มีห้ามิติก็ยุบตัวลง และคูเปอร์พบว่าตัวเขากำลังเดินทางผ่านรูหนอนเข้ามาสู่วงโคจรรอบ ๆ ดาวเสาร์ เขาตื่นขึ้นบนสถานีอวกาศของนาซ่าและได้พบกับเมิร์ฟซึ่งในตอนนี้แก่ชราแล้ว และเป็นผู้เริ่มนำการอพยพของมนุษยชาติ ด้วยความพึงพอใจที่คูเปอร์ได้รักษาคำมั่นสัญญาที่ว่าวันหนึ่งจะกลับมาหาเธอ เมิร์ฟโน้มน้าวคูเปอร์ให้ค้นหาอมิเลียซึ่งอยู่ตามลำพังและกำลังดำเนินการตามแผน B พร้อมกับเคสบนทะเลทรายของดาวเอ็ดมันด์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่สามารถอยู่อาศัยได้ เอ็ดมันด์ได้ตายไปเนื่องจากแผ่นดินถล่ม คูเปอร์และทาร์ซึ่งได้รับความช่วยเหลือมาด้วยกันจากอวกาศ ขโมยกระสวยอวกาศของนาซ่าเพื่อเดินทางไปยังดาวเอ็ดมันด์


อันดับที่ 4



Blade Runner (1982)




หนังเรื่องนี้เป็นมุมมองในอนาคต ประชากรส่วนใหญ่อพยพ ไปอยู่ off world ลอสแองเจงลิส ในเวลานั้น เศรษฐกิจส่วนใหญ่อยู่ในมือคนญี่ปุ่น สังเกตภาษาหลัก แทบจะกลายเป็นภาษาญี่ปุ่น การแต่งตัว โปสเตอร์ อาหารการกิน เนื้อเรื่องพูดถึงกลุ่มหุ่นยนต์ที่สามารถมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์มากๆ คือ กลุ่ม Replicant หุ่นยนต์เหล่านี้เหมือนคนจนดูไม่ออก ซึ่งการจะแยกแยะออกมาได้อยู่ที่ดวงตา จะมีอาการตอบรับอย่างไรเมื่อมีการถามคำถาม ประมาณ 20-30 คำถาม ดังนั้นความรู้สึกของหุ่นยนต์นี้สามารถ รับความรู้สึกของมนุษย์ได้ ทั้งความรัก การแสดงอาการเสียใจ (มีน้ำตา) อาการโกธรแค้น และสามารถมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ได้
  
กลุ่มหุ่นยนต์นี้ ถูกสร้างให้เป็น Slave ของเจ้านาย และนำไปใช้ในเขต Off world ถ้าหุ่นยนต์ตัวไหน หนีออกจากเจ้านาย ก็จะถูกตามล่าโดย อาจจะเป็นตำรวจหรือมือสังหาร ที่ถูกเรียกว่า Blade Runner Harrison Ford เล่นเป็น อดีตตำรวจที่มีฝีมือในการล่า หุ่นยนต์ Replicant ซึ่งได้เลิกการล่าหุ่นยนต์เหล่านี้แล้ว แต่ครั้งนี้เขาถูกตามตัวมาล่า หุ่นยนต์ 4 ตัวด้วยกัน ระหว่างการตามล่า เขากลับตกหลุมรักหุ่นยนต์สาว (sean young) ซึ่งเป็นผู้ช่วยสาว ขององค์การที่ผลิตหุ่นยนต์นี้

ถ้าอ่านเนื้อเรื่องมาเท่านี้ ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ อาจจะไม่ต่างกับหนังแอ๊คชั่น หรือ หนังวิทยาศาตร์โดยทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หรือ 50 หนังยอดเยี่ยมตลอดกาล ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่างดังต่อไปนี้

การดำเนินเรื่องเป็นลักษณะ Film Noir นี่ไม่ใช่หนังในลักษณะยิงกัน หรือ ในลักษณะหนังของ Scott ในระยะหลัง แต่การดำเนินเรื่อง เป็นลักษณะแสดงให้เห็นภาวะจิตใจของแต่ละตัวละครในลักษณะหม่นหมอง ทั้งเรื่อง (ลักษณะเดียวกับ Batman Begins แต่หม่นมากกว่าอีก) ลักษณะหนังดูเหมือนเป็นการสืบสวน สอบสวนแต่เพียงแต่ย้ายหนังไปสู่อนาคต



จินตนาการ ของผู้เขียนเรื่องนี้ (สร้างจาก หนังสือเรื่อง Do Android dream of electric sheep) ที่มีหลายแง่มุมที่เกิดขึ้นจริง คำสั่งให้ คอมพิวเตอร์ทำงานโดยการพูด (ต้องเข้าใจว่า ปี 1982 นั้น เครื่องคอมไม่ใช่Pc ในปัจจุบัน) คัตเอาท์ขนาดใหญ่ที่มีการแสดงภาพเคลื่อนไหวได้, การใช้โทรศัพท์แบบเห็นหน้า, ลิฟท์แบบ Digital และอื่นๆ การทำนายถึงสภาพสิ่งแวดล้อมอันเลวร้าย จนคนต้องอพยพไปอยู่ต่างโลก โดยมีสภาวะ Acid rain, ลอสแองเจลิส ที่เป็นไปด้วยผู้คนแออัด จราจรติดขัด (นี่มันกรุงเทพชัดๆ)

เนื้อเรื่อง ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่า หุ่นยนต์ เป็น Slave แต่ในแง่ความเป็นจริง หนังพยายามสื่อ ถึงบุคคลที่ด้อยโอกาสกว่าในสังคมและ ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนที่มีอำนาจกว่า ซึ่งเป็นความเจ็บปวด และการขาดอิสะ ทั้งความคิด และเสรีภาพ การที่ผู้มีอำนาจกว่าสามารถทำอะไรก็ได้ ทั้งการสั่ง และการมีเพศสัมพันธ์ (อันนี้สามารถสื่อได้จากในฉากสุดท้ายที่หุ่นยนต์บอกพระเอก)

คุณสามารถสัมผัสหนังเรื่องนี้ได้อย่างกลมกลืน ในการดำเนินเรื่อง ทางองค์ประกอบทางศิลป์ (ถูกเสนอชื่อชิง 2 รางวัลจากกำกับฝ่ายศิลป และ Visual Effect) ดนตรีโดย Vangelic ซึ่งผมชอบมากโดยฌฉพาะตอน End credit การถ่ายภาพ และ การแสดงอันยอดเยี่ยม เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย หนังเรื่องนี้เมื่อฉายครั้งแรก ดูเหมือนหนังจะมาก่อนเวลา เพราะคนคาดว่าจะได้เห็นความตื่นเต้น เต็มๆเหมือน Alien หรือ Starwars แต่หนังดำเนินเรืองไปคนละแนว รวมถึง ในปีเดียวกัน ET ถูกนำออกฉาย ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับหนังเรืองนี้ จึงไม่ประสพความสำเร็จ ทั้งในด้านรางวัลและรายได้ และอีกประการหนึ่ง การทำให้หนังต้องเปลี่ยนตอนจบใหม่ให้สมหวังตามนายทุนเจ้าของหนัง


แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังเรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญ และได้รับการยกย่องมากขึ้น จนกลายเป็นหนังยอดเยี่ยมสำหรับหลายๆท่าน และเป็นต้นฉบับให้กับหนังหลายๆเรื่อง เช่น The Fifth Elements และ Scott ก้เริ่มมีpower มากขึ้นในการสามารถ ตัดต่อหนังให้เป็นในแบบที่เขาต้องการ โดยครั้งแรกในปี1997 และครั้งสุดท้ายคือในฉบับที่ผมได้ดูคือ ปี 2007 ซึ่งถ้าไม่บอกว่านี่คือหนังปี1982 ผมเชื่อว่า หลายท่านอาจจะคิดว่า นี่คือหนังใหม่ เพราะไม่มีร่องรอยความเก่าให้เห็นเลย และนี่คือ ผลงาน MASTERPIECE ของ RIDLEY SCOTT อย่างแท้จริง




อันดับที่ 5



A.I. Artificial Intelligence จักรกลอัจฉริยะ



เมื่อถึงวันที่ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอจนแทบไม่เหลือ และเทคโนโลยีก้าวล้ำเกินกว่าจินตนาการ วันที่บ้านพักของคุณ จะถูกจับจ้องตรวจตราอยู่ตลอดเวลา, อาหารที่คุณรับประทาน ผ่านกระบวนการทางวิศวพันธุกรรมหลายขั้นตอน, และผู้ที่บริการเสิร์ฟคุณอยู่นั้น ก็ไม่ใช่คนเลยแม้แต่กระเบียดนิ้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประดิษฐ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น งานทำสวน, งานดูแลบ้าน, แม้แต่เพื่อนชวนคุย - ก็จะมีหุ่นยนต์ ตอบสนองทุกความต้องการให้กับคุณได้ เว้นแต่เพียง ความรัก อย่างเดียวเท่านั้น

          อารมณ์ความรู้สึกเป็นปราการด่านสุดท้าย และยังคงถกเถียงถึงการสร้างให้เป็นจริง ในยุคปฏิวัติหุ่นยนต์อยู่อย่างกว้างขวาง หุ่นยนต์ทั้งหลายถูกจัดชั้นไว้ เป็นเพียงเครื่องจักรกลซับซ้อนเกินบรรยาย แต่พวกมันก็ยังคงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ดี ในขณะที่พ่อแม่หลายคู่ที่ยังไม่อาจมีบุตรของตัวเองได้ โอกาสที่จะสร้างบุตรหุ่นยนต์ ให้มีอารมณ์ความรู้สึก ก็ยังคงเป็นไปได้อย่างมาก


         
  บริษัท Cybertronics Manufacturing ก็สร้างความเป็นไปได้ ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ เขาคือ เดวิด (รับบทโดย ฮาลี่ย์ โจเอล ออสเม็นต์) หุ่นยนต์เด็กตัวแรกที่ถูกตั้งโปรแกรมมาให้รักเป็น

           โครงการทดสอบหุ่นยนต์เด็กรุ่นล่าสุดนี้ ทำให้เดวิดถูกส่งไปอยู่ในอุปถัมภ์ ของพนักงานคนหนึ่งในบริษัท Cybertronics ชื่อ เฮนรี่ สวินตั้น (รับบทโดย แซม โรบาร์ด) และภรรยา โมนิก้า สวินตั้น (รับบทโดย ฟรานเซส โอ'คอนเนอร์) ทั้งคู่มีบุตรชายที่ป่วยหนักจนต้องแช่แข็งไว้ รอวิทยาการทางการแพทย์ หาทางรักษาในอนาคต แม้ว่าเดวิดจะค่อยๆ กลมกลืนเข้ากับครอบครัว จนเป็นเสมือนบุตรชายที่ได้รับทั้ง ความรัก และความอบอุ่นคุ้มครอง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันสารพัด ก็ยังคงขวางกั้นเดวิด ไม่ให้อาจใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งได้อยู่นั่นเอง

          เมื่อ เดวิด ไม่อาจเข้าได้กับทั้ง คน และเครื่องจักรกล เดวิดจึงออกเดินทาง ค้นหาสังคมที่เขาสามารถเข้าร่วมได้อย่างสนิทใจ โดยมีเพียง เท็ดดี้ (ให้เสียงพากย์โดย แจ็ค แองเจล) ตุ๊กตาหมีซุปเปอร์ทอย ที่เป็นทั้งเพื่อนเล่นและผู้พิทักษ์ ซึ่งการเปิดโลกทัศน์ครั้งสำคัญนี้ ยังทำให้เดวิดเข้าใจซึ้งถึงขอบเขต ที่แบ่งโลกของหุ่นยนต์กับจักรกลออกจากกัน มันช่างน่ากลัว และแทบไม่อาจแยกแยะออกจากกันได้เลยทีเดียว


อันดับที่ 6


Dark City (1998)
เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน
Alex Proyas



ชายคนหนึ่ง(Rufus Sewell)ตื่นขึ้นมาในห้องที่โรงแรมโทรมๆ โดยตัวเขาเองจำอะไรไมไ่ด้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หรือทำอะไรลงยังไงนอกจากความงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง และไม่นานเขากับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยจากการโดนตำรวจล่าตัว โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งมีสารวัตรแฟรงค์ บัมสเตด (William Hurt)ที่พยายามตามล่าไม่หยุดยั้ง แต่แล้วความยิ่งสงสัยต้องทวีคูณมากเป็นหลายเท่าเมื่อมีกลุ่มคนลึกลับพยายามตามหาเขา ซึ่งนั้นทำให้ต้องเจอเรื่องแปลกพิสดารมากมายที่ตัวเองต้องแปลกใจเมื่อเมืองที่ตนเองได้อยู่ไม่ใช่เมืองของตนเองแต่มีบางสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงมันอยู่และกำลังหาผลประโยชน์ แต่ปัญหาคือเพราะอะไร ความจริงแล้วเขาเป็นใครกันทำไมเพราะอะไรถึงมีแต่คนตามล่าเขานัก และเรื่องทั้งหมดคือเรื่องอะไรกันแน่



จัดว่าเป็นหนังไซไฟที่มีลักษณะเด่นเป็นของตัวเองคือทำออกมาด้านมืดหม่นที่มีแต่เวลากลางคืนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการสับสนที่ดำเนินผ่านผู้คนเป็นเรื่องปกติ การดำเนินของคนเราจะเป็นไปตามรูปแบบที่ตนเองสร้างและต้องการในสิ่งนั้นๆในแบบของตนเอง จึงไม่แปลกที่การใช้ชีวิตจะเป็นเรื่องปกติเพราะการปลูกฝังหรือการถ่ายทอดเป็นส่วนหนึ่งของความจำและประสบการณ์
การปรับสภาพเป็นสิ่งที่ตัวละครในหนังมักจะพูดบ่อยๆ ซึ่งเป็นไปได้หนึ่งทางคือการดำรงชีวิต โดยการดำเนินชีวิตจะประหนึ่งการอยู่รอดของการอาศัย โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและวิถีไตามแบบให้เกิดความเหมาะสมและดำรงอยู่ได้ตามอัธยาศัย หรือที่เรียกว่าการวิวัฒนาการ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสู่การข้ามขอบเขตจะพุ่งประเด็นมาที่จอห์นที่เกิดความล้ำหรือการดำรงที่เกินความนึกคิดของเหล่าขบวนการใต้ดิน
ขบวนการใต้ดินหรือเหล่ากลุ่มที่มีพลังจิตเป็นชนชั้นที่ใกล้เคียงกับมนุษย์แต่ขาดความเป็นสังคมอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการนำผู้คนทั้งเมืองมาทดลองเป็นปัจจัยหลักที่ว่าการดำรงที่จะศึกษาถึงการคงอยู่ว่ามีความเป็นอยู่ยังไง ใช้ชีวิตแบบไหน มีลักษณะรูปแบบแค่ไหน ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนทั้งเมืองเป็นแค่องค์ประกอบของส่วนที่เล็กหรือส่วนบุคคลกันแน่


จอห์นมีความแปลกกว่าคนอื่นตรงที่มีการปรับสภาพ ตัวหนังมีการกล่าวนำว่าการแปรสภาพคือการปรับสภาพแต่เป็นขั้นตอนของวิวัฒนาการอีกขั้นที่เหลี่ยมล้ำสู่ความอยู่รอด ซึ่งเดิม Dark City คือเมืองที่มีแต่ความทะมึนมืดบอดจึงไม่แปลกถ้าตัวหนังจะดำเสนอความซับซ้อนที่พาสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหมือนเมืองที่เต็มไปด้วยความมืดไม่มีทางออกที่นำพาแสงสว่างสู่ความจริง เพราะอะไรจอห์นถึงมีการเปลี่ยนแปลงหรือพิเศษกว่าคนอื่นที่เหมือนกัน เหตุผลต้องย้อนไปต้นเหตุของการหยุดนิ่งซึ่งจะเป็นเวลา 12.00 น.ที่จะเกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ทั้งเมืองในเวลาที่หยุดนิ่งและผู้คนที่อยู่สภาพจำศีลหรือการหลับไปชั่วขณะ วัตถุประสงค์ของเรื่องราวจะกลับไปเข้าประเด็นกับเหล่าขบวนการใต้ดินซึ่งจะชัดว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะมีเหตุผลของตัวเองที่ว่ากำลังสูญพันธุ์หรือการล่มสลาย ที่ต้องการศึกษามนุษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่จะอยู่ต่อไป
ประเด็นคือการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆและศึกษาคงอยู่ไปเรื่อยๆและเป็นแบบนี้ไปอีกนาน แต่แล้วจอห์นคือบุคคลที่เกิดสามารถตื่นขึ้นมาชั่วขณะ ทำให้ความทรงจำเกิดหายไปและสับสนระหว่างเรื่องในหัวที่เป็นความทรงจำที่ค้างคาใจกับหาดทะเลที่ตนเองคิดว่าเป็นบ้านเกิดของตน แต่ประเด็นคือสถานที่แห่งนั้นมันอยู่ไหน เมื่อไม่มีใครจำทางไปที่นั้นได้


เพราะอะไรความทรงจำถึงหายไปขณะกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต้องหลับ นั้นเพราะด็อกเตอร์แดเนี่ยล(Kiefer Sutherland )กำลังจะรับความทรงจำและประสบการณ์ของจอห์นที่สั่งสมไว้อยู่ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อยู่ระหว่างให้ความทรงจำใหม่ที่จะทิ้งและลืมของเดิททั้งหมด แต่จอห์นอยู่ฐานะของความก่ำกึ่งระหว่างความทรงจำอันเก่าที่นึกไม่ออก ส่วนความทรงจำไม่ได้ถูกใส่หรือบรรจุไปเพราะการตื่นของจอห์นทำให้เข็มไม่ได้ทันฉีดเสียก่อน และการตื่นของจอห์นจะนำพาสู่การปรับสภาพที่ข้ามการหลับที่เกิดขึ้นทุกเวลา 12.00 น. ซึ่งนั้นไม่แค่จะไม่ได้หลับเพราะการโดนพลังจิตเท่านั้น แต่ได้ความสามารถติดมาอีกด้วยคือพลังจิตที่เกิดขึ้นและใช้ได้เหมือนเหล่าขบวนการใต้ดิน และนั้นทำให้พวกขบวนการใต้ดินต้องตามล่าเขา ขณะเดียวกันด็อกเตอร์แดเนี่ยลกับเป็นตัวเลือกที่พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือที่ไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
หนังมีเนื้อหาที่ชวนคิดอยู่หลายขุมและทฤษฎีความเป็นได้หลายอย่างและซับซ้อนหลายรูปแบบที่ผู้ชมจะบอกว่าเป็นแบบนั้นเป็นนี้ แต่มีสิ่งที่ดูเหมือนจะใกล้ตัวที่สุดคือความฝัน ถ้าเกิดเรื่องที่เกิดเป็นเพียงเรื่องที่จินตนการและเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่ดึงความจริงของสภาพแวดล้อมต่างไปมีเกี่ยวด้วย


อย่างเรื่องชายหาดที่อยู่ในความทรงจำตอนเด็กว่าเคยอยู่ร่วมอาศัย แต่เพราะค้นหาความจริงปรากฎว่าหาดริมทะเลไม่ได้มีอยู่จริง แล้วความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กมาจากไหน ลองคิดแบบพลิกแพลงคือการปลูกถ่ายความจำที่ด็อกเตอร์แดเนี่ยลเป็นคนทำนั้นเอง หรือการสร้างมนุษย์ด้วยการโคลนที่ค่อยๆเลี้ยงจนได้ระยะหนึ่งแล้วใส่ความจำโดยตรงไปทางสมอง แล้วกู่สร้างเรื่องเหมือนเป็นปกติให้จมปลักอยู่แต่เมืองนี่แห่งเดียว ซึ่งหนังทำได้เพรียบพร้อมมากๆกับเรื่องใช้จินตนการที่ล้ำยุคล้ำเวลาที่เสนอมาได้มืดบอดตามพล็อตเรื่องที่แทบไม่มีมูลหรือสาเหตุอันใด นอกจากความงงที่ตัวหนังเปิดมากับฉากจอห์นที่ตื่นขึ้นมาในโรงแรมที่พบว่าตัวเองไม่มีความทรงจำอะไรและจำไม่ได้เลยว่าตนเองคือใคร
ความเซอร์ไพร์เป็นปัจจัยหลักที่ตัวหนังยิ่งดำเนินยิ่งชัดเจนถึงข้อประสงค์ในความสงสัยได้อย่างน่าประหลาดเพราะมีการบวกความคิดด้านจินตนาการทำให้มีความคิดสร้างสรรค์และวิเคราะห์ได้ลึกและหลายรูปแบบที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าควรจะให้คำตอบกับเรื่องในรูปแบบไหนดี


เอฟเฟคจัดว่าเต็มที่แบบกระหน่ำของเรื่องจิตนาการที่เปลี่ยนเมืองด้วยการเปลี่ยนรูปร่างตึกหรือจะการเคลื่นย้ายบ้านเรือนที่ดูอลังการในแบบศิลป์ของความลึกลับ
การใช้ฉากถือว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมากและดูสมบูรณ์กินกับรูปลักษณ์ของตัวหนัง ทำให้เป็นหนังไซไฟที่ดูล้ำๆแบบมืดๆ ด้านนักแสดงจัดว่าดูเหมาะกับบททุกคน แต่กับ Jennifer Connelly เป็นอะไรที่ยิ่งเหมาะสมที่สุดกับการใช้เพราะตัวหนังมามืดจึงควรมีอะไรให้ดูสว่างๆบ้าง ซึงทำให้โทนหนังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างน่างงงวงและสงสัยจนอัดแน่นไปด้วยความเป็นหนังผสมระหว่างไซไฟกับแนวสืบสวนที่ใส่ความเครียดเข้ามา ที่สำคัญคือการเฉลยที่เนื้อเรื่องทำออกมาดีและนั้นที่ตัวหนังทำออกมาได้คุ้มกับตอนจบที่เหมือนเล่าใหม่

และที่น่าขบคิดจนเหมือนหนังปรัชญาค้นหาความจริงคือประโยคง่ายๆที่จอห์นบอกว่า"คุณไม่มีทางหาสิ่งที่คุณต้องการในนี้ได้หรอก เพราะมันไม่ได้อยู่ในนี้"(จอห์นชี้ไปที่หัวตัวเอง)

อันดับที่ 7



มฤตยูแรงโน้มถ่วง

 หนังเรื่องนั้นคือ Gravity หรือที่มีชื่อไทยแบบโหดๆว่า “มฤตยูแรงโน้มถ่วง” ก่อนจะไปเรื่องอื่น ผมก็ได้เอาเรื่องย่อมายั่วน้ำลายท่านผู้อ่านก่อนก็แล้วกัน
             บุลล็อครับบทเป็น ดร.ไรอัน สโตน วิศวกรรมอัจฉริยะด้านการแพทย์ที่อยู่ในภารกิจบนยานอวกาศเป็นครั้งแรกร่วมกับแม็ตต์ โควัลสกี้ มนุษย์อวกาศที่มากประสบการณ์ (คลูนีย์) แต่ช่วงที่เดินสำรวจอวกาศได้เกิดเหตุร้ายขึ้น ยานอวกาศพังสิ้นสภาพจนสโตนและโควัลสกี้ต้องอยู่อย่างเคว้งคว้ง ไม่สามารถยึดติดกับสิ่งใดได้นอกจากพวกเขาที่ต้องโคจรออกไปในความมืด
              ความเงียบสงัดบอกกับพวกเขาว่าหมดทางติดต่อกับโลก…และโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือแล้ว ขณะที่ความกลัวเปลี่ยนเป็นอาการขวัญเสีย ห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่ก็ทำให้ออกซิเจนที่มีน้อยนิดค่อยๆ หมดลง       
       จริงๆแล้วเราก็ดูหนังเกี่ยวกับอวกาศกันมาเยอะทั้งที่สร้างจากเรื่องจริง อย่าง อพอลโล่ 13 ซึ่งก็คล้ายๆกับเรื่องนี้คือการเอาตัวรอดของมนุษย์ ภายใต้วิกฤต แต่เรื่องนั้นไม่ดูกดดันและบีบคั้นเท่าเรื่องนี้
              หรือจะหนังอวกาศกอบกู้โลกอย่างอมาเก็ดดอน ที่มนุษย์ต้องต่อสู้กับอุกาบาตที่กำลังจะพุ่งเข้าชนโลก และหนังแนวๆนี้ออกมาในช่วงปี 2000 ช่วงที่มีข่าวเรื่องโลกแตก มนุษย์จะสูญพันธ์
              หนังเกี่ยวกับอวกาศเรื่องนี้ ทำเหมือนหนังที่เล่าเรื่องในพื้นที่จำกัด ในพื้นกว้างใหญ่มหาศาลอย่างในอวกาศ และบีบคั้นเราเข้าไปอีกด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่ดูเหมือนตัวเองของเราไม่น่าจะรอดแต่ สุดท้ายก็รอดจนได้ แต่รอดด้วยวิธีไหนอันนี้ต้องไปชมกันเองนะครับ
              เมื่อการตัดสินใจครั้งสำคัญเข้ามาก็ทำให้ผู้ชมอย่างเราหายใจไม่ทั่วท้องในการลุ้นระทึกตามไปด้วย พูดเยอะๆเดี๋ยวจะหาว่าสปอยหนัง
              เอาละครับหากมองย้อนไปที่หนังเกี่ยวกับอวกาศ แทบทุกเรื่องไม่ว่าจะดูไฮเทคแค่ไหน จะสู้กับอะไร เราก็จะเห็นว่ามนุษย์นั้นเอาความเป็นมนุษย์โลกไปด้วยเสมอ ดูง่ายๆก็คือการสวมชุดนักบินอวกาศ ที่ต้องมีออกซิเจน และมีชุดที่เอาไว้ป้องกันกัมตภาพรังสี
              ทำให้ผมแอบคิดไม่ได้ว่าการทำแบบนี้อย่าว่าแต่ไปดาวไกลๆเลย แค่ดวงจันทร์ที่มนุษย์เราอ้างว่าไปเหยียบมาแล้ว จริงๆก็อาจจะดูเหมือนว่าไม่ได้เหยียบ เพราะต้องเหยียบและสัมผัสทุกอย่างผ่านชุดนักบินอวกาศ ซึ่งยังไงซะมันก็คงไม่เหมือนกับการสัมผัสด้วยอวัยวะหรือสัมผัสด้วยร่างกายของเราเอง