ชายคนหนึ่ง(Rufus Sewell)ตื่นขึ้นมาในห้องที่โรงแรมโทรมๆ
โดยตัวเขาเองจำอะไรไมไ่ด้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
หรือทำอะไรลงยังไงนอกจากความงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
และไม่นานเขากับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยจากการโดนตำรวจล่าตัว
โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งมีสารวัตรแฟรงค์ บัมสเตด (William
Hurt)ที่พยายามตามล่าไม่หยุดยั้ง
แต่แล้วความยิ่งสงสัยต้องทวีคูณมากเป็นหลายเท่าเมื่อมีกลุ่มคนลึกลับพยายามตามหาเขา
ซึ่งนั้นทำให้ต้องเจอเรื่องแปลกพิสดารมากมายที่ตัวเองต้องแปลกใจเมื่อเมืองที่ตนเองได้อยู่ไม่ใช่เมืองของตนเองแต่มีบางสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงมันอยู่และกำลังหาผลประโยชน์
แต่ปัญหาคือเพราะอะไร
ความจริงแล้วเขาเป็นใครกันทำไมเพราะอะไรถึงมีแต่คนตามล่าเขานัก
และเรื่องทั้งหมดคือเรื่องอะไรกันแน่
จัดว่าเป็นหนังไซไฟที่มีลักษณะเด่นเป็นของตัวเองคือทำออกมาด้านมืดหม่นที่มีแต่เวลากลางคืนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการสับสนที่ดำเนินผ่านผู้คนเป็นเรื่องปกติ
การดำเนินของคนเราจะเป็นไปตามรูปแบบที่ตนเองสร้างและต้องการในสิ่งนั้นๆในแบบของตนเอง
จึงไม่แปลกที่การใช้ชีวิตจะเป็นเรื่องปกติเพราะการปลูกฝังหรือการถ่ายทอดเป็นส่วนหนึ่งของความจำและประสบการณ์
การปรับสภาพเป็นสิ่งที่ตัวละครในหนังมักจะพูดบ่อยๆ
ซึ่งเป็นไปได้หนึ่งทางคือการดำรงชีวิต
โดยการดำเนินชีวิตจะประหนึ่งการอยู่รอดของการอาศัย
โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและวิถีไตามแบบให้เกิดความเหมาะสมและดำรงอยู่ได้ตามอัธยาศัย
หรือที่เรียกว่าการวิวัฒนาการ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสู่การข้ามขอบเขตจะพุ่งประเด็นมาที่จอห์นที่เกิดความล้ำหรือการดำรงที่เกินความนึกคิดของเหล่าขบวนการใต้ดิน
ขบวนการใต้ดินหรือเหล่ากลุ่มที่มีพลังจิตเป็นชนชั้นที่ใกล้เคียงกับมนุษย์แต่ขาดความเป็นสังคมอยู่ร่วมกัน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการนำผู้คนทั้งเมืองมาทดลองเป็นปัจจัยหลักที่ว่าการดำรงที่จะศึกษาถึงการคงอยู่ว่ามีความเป็นอยู่ยังไง
ใช้ชีวิตแบบไหน มีลักษณะรูปแบบแค่ไหน
ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนทั้งเมืองเป็นแค่องค์ประกอบของส่วนที่เล็กหรือส่วนบุคคลกันแน่
จอห์นมีความแปลกกว่าคนอื่นตรงที่มีการปรับสภาพ
ตัวหนังมีการกล่าวนำว่าการแปรสภาพคือการปรับสภาพแต่เป็นขั้นตอนของวิวัฒนาการอีกขั้นที่เหลี่ยมล้ำสู่ความอยู่รอด
ซึ่งเดิม Dark City คือเมืองที่มีแต่ความทะมึนมืดบอดจึงไม่แปลกถ้าตัวหนังจะดำเสนอความซับซ้อนที่พาสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหมือนเมืองที่เต็มไปด้วยความมืดไม่มีทางออกที่นำพาแสงสว่างสู่ความจริง
เพราะอะไรจอห์นถึงมีการเปลี่ยนแปลงหรือพิเศษกว่าคนอื่นที่เหมือนกัน
เหตุผลต้องย้อนไปต้นเหตุของการหยุดนิ่งซึ่งจะเป็นเวลา 12.00
น.ที่จะเกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ทั้งเมืองในเวลาที่หยุดนิ่งและผู้คนที่อยู่สภาพจำศีลหรือการหลับไปชั่วขณะ
วัตถุประสงค์ของเรื่องราวจะกลับไปเข้าประเด็นกับเหล่าขบวนการใต้ดินซึ่งจะชัดว่าทำไปเพื่ออะไร
เพราะมีเหตุผลของตัวเองที่ว่ากำลังสูญพันธุ์หรือการล่มสลาย
ที่ต้องการศึกษามนุษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่จะอยู่ต่อไป
ประเด็นคือการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆและศึกษาคงอยู่ไปเรื่อยๆและเป็นแบบนี้ไปอีกนาน
แต่แล้วจอห์นคือบุคคลที่เกิดสามารถตื่นขึ้นมาชั่วขณะ
ทำให้ความทรงจำเกิดหายไปและสับสนระหว่างเรื่องในหัวที่เป็นความทรงจำที่ค้างคาใจกับหาดทะเลที่ตนเองคิดว่าเป็นบ้านเกิดของตน
แต่ประเด็นคือสถานที่แห่งนั้นมันอยู่ไหน เมื่อไม่มีใครจำทางไปที่นั้นได้
เพราะอะไรความทรงจำถึงหายไปขณะกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต้องหลับ
นั้นเพราะด็อกเตอร์แดเนี่ยล(Kiefer Sutherland )กำลังจะรับความทรงจำและประสบการณ์ของจอห์นที่สั่งสมไว้อยู่
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อยู่ระหว่างให้ความทรงจำใหม่ที่จะทิ้งและลืมของเดิททั้งหมด
แต่จอห์นอยู่ฐานะของความก่ำกึ่งระหว่างความทรงจำอันเก่าที่นึกไม่ออก
ส่วนความทรงจำไม่ได้ถูกใส่หรือบรรจุไปเพราะการตื่นของจอห์นทำให้เข็มไม่ได้ทันฉีดเสียก่อน
และการตื่นของจอห์นจะนำพาสู่การปรับสภาพที่ข้ามการหลับที่เกิดขึ้นทุกเวลา 12.00 น.
ซึ่งนั้นไม่แค่จะไม่ได้หลับเพราะการโดนพลังจิตเท่านั้น
แต่ได้ความสามารถติดมาอีกด้วยคือพลังจิตที่เกิดขึ้นและใช้ได้เหมือนเหล่าขบวนการใต้ดิน
และนั้นทำให้พวกขบวนการใต้ดินต้องตามล่าเขา
ขณะเดียวกันด็อกเตอร์แดเนี่ยลกับเป็นตัวเลือกที่พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือที่ไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
หนังมีเนื้อหาที่ชวนคิดอยู่หลายขุมและทฤษฎีความเป็นได้หลายอย่างและซับซ้อนหลายรูปแบบที่ผู้ชมจะบอกว่าเป็นแบบนั้นเป็นนี้
แต่มีสิ่งที่ดูเหมือนจะใกล้ตัวที่สุดคือความฝัน
ถ้าเกิดเรื่องที่เกิดเป็นเพียงเรื่องที่จินตนการและเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่ดึงความจริงของสภาพแวดล้อมต่างไปมีเกี่ยวด้วย
อย่างเรื่องชายหาดที่อยู่ในความทรงจำตอนเด็กว่าเคยอยู่ร่วมอาศัย
แต่เพราะค้นหาความจริงปรากฎว่าหาดริมทะเลไม่ได้มีอยู่จริง
แล้วความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กมาจากไหน ลองคิดแบบพลิกแพลงคือการปลูกถ่ายความจำที่ด็อกเตอร์แดเนี่ยลเป็นคนทำนั้นเอง
หรือการสร้างมนุษย์ด้วยการโคลนที่ค่อยๆเลี้ยงจนได้ระยะหนึ่งแล้วใส่ความจำโดยตรงไปทางสมอง
แล้วกู่สร้างเรื่องเหมือนเป็นปกติให้จมปลักอยู่แต่เมืองนี่แห่งเดียว
ซึ่งหนังทำได้เพรียบพร้อมมากๆกับเรื่องใช้จินตนการที่ล้ำยุคล้ำเวลาที่เสนอมาได้มืดบอดตามพล็อตเรื่องที่แทบไม่มีมูลหรือสาเหตุอันใด
นอกจากความงงที่ตัวหนังเปิดมากับฉากจอห์นที่ตื่นขึ้นมาในโรงแรมที่พบว่าตัวเองไม่มีความทรงจำอะไรและจำไม่ได้เลยว่าตนเองคือใคร
ความเซอร์ไพร์เป็นปัจจัยหลักที่ตัวหนังยิ่งดำเนินยิ่งชัดเจนถึงข้อประสงค์ในความสงสัยได้อย่างน่าประหลาดเพราะมีการบวกความคิดด้านจินตนาการทำให้มีความคิดสร้างสรรค์และวิเคราะห์ได้ลึกและหลายรูปแบบที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าควรจะให้คำตอบกับเรื่องในรูปแบบไหนดี
เอฟเฟคจัดว่าเต็มที่แบบกระหน่ำของเรื่องจิตนาการที่เปลี่ยนเมืองด้วยการเปลี่ยนรูปร่างตึกหรือจะการเคลื่นย้ายบ้านเรือนที่ดูอลังการในแบบศิลป์ของความลึกลับ
การใช้ฉากถือว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมากและดูสมบูรณ์กินกับรูปลักษณ์ของตัวหนัง
ทำให้เป็นหนังไซไฟที่ดูล้ำๆแบบมืดๆ ด้านนักแสดงจัดว่าดูเหมาะกับบททุกคน แต่กับ Jennifer
Connelly เป็นอะไรที่ยิ่งเหมาะสมที่สุดกับการใช้เพราะตัวหนังมามืดจึงควรมีอะไรให้ดูสว่างๆบ้าง
ซึงทำให้โทนหนังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างน่างงงวงและสงสัยจนอัดแน่นไปด้วยความเป็นหนังผสมระหว่างไซไฟกับแนวสืบสวนที่ใส่ความเครียดเข้ามา
ที่สำคัญคือการเฉลยที่เนื้อเรื่องทำออกมาดีและนั้นที่ตัวหนังทำออกมาได้คุ้มกับตอนจบที่เหมือนเล่าใหม่
และที่น่าขบคิดจนเหมือนหนังปรัชญาค้นหาความจริงคือประโยคง่ายๆที่จอห์นบอกว่า"คุณไม่มีทางหาสิ่งที่คุณต้องการในนี้ได้หรอก
เพราะมันไม่ได้อยู่ในนี้"(จอห์นชี้ไปที่หัวตัวเอง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น