วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

อันดับที่ 6


Dark City (1998)
เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน
Alex Proyas



ชายคนหนึ่ง(Rufus Sewell)ตื่นขึ้นมาในห้องที่โรงแรมโทรมๆ โดยตัวเขาเองจำอะไรไมไ่ด้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หรือทำอะไรลงยังไงนอกจากความงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง และไม่นานเขากับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยจากการโดนตำรวจล่าตัว โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งมีสารวัตรแฟรงค์ บัมสเตด (William Hurt)ที่พยายามตามล่าไม่หยุดยั้ง แต่แล้วความยิ่งสงสัยต้องทวีคูณมากเป็นหลายเท่าเมื่อมีกลุ่มคนลึกลับพยายามตามหาเขา ซึ่งนั้นทำให้ต้องเจอเรื่องแปลกพิสดารมากมายที่ตัวเองต้องแปลกใจเมื่อเมืองที่ตนเองได้อยู่ไม่ใช่เมืองของตนเองแต่มีบางสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงมันอยู่และกำลังหาผลประโยชน์ แต่ปัญหาคือเพราะอะไร ความจริงแล้วเขาเป็นใครกันทำไมเพราะอะไรถึงมีแต่คนตามล่าเขานัก และเรื่องทั้งหมดคือเรื่องอะไรกันแน่



จัดว่าเป็นหนังไซไฟที่มีลักษณะเด่นเป็นของตัวเองคือทำออกมาด้านมืดหม่นที่มีแต่เวลากลางคืนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการสับสนที่ดำเนินผ่านผู้คนเป็นเรื่องปกติ การดำเนินของคนเราจะเป็นไปตามรูปแบบที่ตนเองสร้างและต้องการในสิ่งนั้นๆในแบบของตนเอง จึงไม่แปลกที่การใช้ชีวิตจะเป็นเรื่องปกติเพราะการปลูกฝังหรือการถ่ายทอดเป็นส่วนหนึ่งของความจำและประสบการณ์
การปรับสภาพเป็นสิ่งที่ตัวละครในหนังมักจะพูดบ่อยๆ ซึ่งเป็นไปได้หนึ่งทางคือการดำรงชีวิต โดยการดำเนินชีวิตจะประหนึ่งการอยู่รอดของการอาศัย โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและวิถีไตามแบบให้เกิดความเหมาะสมและดำรงอยู่ได้ตามอัธยาศัย หรือที่เรียกว่าการวิวัฒนาการ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสู่การข้ามขอบเขตจะพุ่งประเด็นมาที่จอห์นที่เกิดความล้ำหรือการดำรงที่เกินความนึกคิดของเหล่าขบวนการใต้ดิน
ขบวนการใต้ดินหรือเหล่ากลุ่มที่มีพลังจิตเป็นชนชั้นที่ใกล้เคียงกับมนุษย์แต่ขาดความเป็นสังคมอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการนำผู้คนทั้งเมืองมาทดลองเป็นปัจจัยหลักที่ว่าการดำรงที่จะศึกษาถึงการคงอยู่ว่ามีความเป็นอยู่ยังไง ใช้ชีวิตแบบไหน มีลักษณะรูปแบบแค่ไหน ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนทั้งเมืองเป็นแค่องค์ประกอบของส่วนที่เล็กหรือส่วนบุคคลกันแน่


จอห์นมีความแปลกกว่าคนอื่นตรงที่มีการปรับสภาพ ตัวหนังมีการกล่าวนำว่าการแปรสภาพคือการปรับสภาพแต่เป็นขั้นตอนของวิวัฒนาการอีกขั้นที่เหลี่ยมล้ำสู่ความอยู่รอด ซึ่งเดิม Dark City คือเมืองที่มีแต่ความทะมึนมืดบอดจึงไม่แปลกถ้าตัวหนังจะดำเสนอความซับซ้อนที่พาสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหมือนเมืองที่เต็มไปด้วยความมืดไม่มีทางออกที่นำพาแสงสว่างสู่ความจริง เพราะอะไรจอห์นถึงมีการเปลี่ยนแปลงหรือพิเศษกว่าคนอื่นที่เหมือนกัน เหตุผลต้องย้อนไปต้นเหตุของการหยุดนิ่งซึ่งจะเป็นเวลา 12.00 น.ที่จะเกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ทั้งเมืองในเวลาที่หยุดนิ่งและผู้คนที่อยู่สภาพจำศีลหรือการหลับไปชั่วขณะ วัตถุประสงค์ของเรื่องราวจะกลับไปเข้าประเด็นกับเหล่าขบวนการใต้ดินซึ่งจะชัดว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะมีเหตุผลของตัวเองที่ว่ากำลังสูญพันธุ์หรือการล่มสลาย ที่ต้องการศึกษามนุษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่จะอยู่ต่อไป
ประเด็นคือการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆและศึกษาคงอยู่ไปเรื่อยๆและเป็นแบบนี้ไปอีกนาน แต่แล้วจอห์นคือบุคคลที่เกิดสามารถตื่นขึ้นมาชั่วขณะ ทำให้ความทรงจำเกิดหายไปและสับสนระหว่างเรื่องในหัวที่เป็นความทรงจำที่ค้างคาใจกับหาดทะเลที่ตนเองคิดว่าเป็นบ้านเกิดของตน แต่ประเด็นคือสถานที่แห่งนั้นมันอยู่ไหน เมื่อไม่มีใครจำทางไปที่นั้นได้


เพราะอะไรความทรงจำถึงหายไปขณะกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต้องหลับ นั้นเพราะด็อกเตอร์แดเนี่ยล(Kiefer Sutherland )กำลังจะรับความทรงจำและประสบการณ์ของจอห์นที่สั่งสมไว้อยู่ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อยู่ระหว่างให้ความทรงจำใหม่ที่จะทิ้งและลืมของเดิททั้งหมด แต่จอห์นอยู่ฐานะของความก่ำกึ่งระหว่างความทรงจำอันเก่าที่นึกไม่ออก ส่วนความทรงจำไม่ได้ถูกใส่หรือบรรจุไปเพราะการตื่นของจอห์นทำให้เข็มไม่ได้ทันฉีดเสียก่อน และการตื่นของจอห์นจะนำพาสู่การปรับสภาพที่ข้ามการหลับที่เกิดขึ้นทุกเวลา 12.00 น. ซึ่งนั้นไม่แค่จะไม่ได้หลับเพราะการโดนพลังจิตเท่านั้น แต่ได้ความสามารถติดมาอีกด้วยคือพลังจิตที่เกิดขึ้นและใช้ได้เหมือนเหล่าขบวนการใต้ดิน และนั้นทำให้พวกขบวนการใต้ดินต้องตามล่าเขา ขณะเดียวกันด็อกเตอร์แดเนี่ยลกับเป็นตัวเลือกที่พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือที่ไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
หนังมีเนื้อหาที่ชวนคิดอยู่หลายขุมและทฤษฎีความเป็นได้หลายอย่างและซับซ้อนหลายรูปแบบที่ผู้ชมจะบอกว่าเป็นแบบนั้นเป็นนี้ แต่มีสิ่งที่ดูเหมือนจะใกล้ตัวที่สุดคือความฝัน ถ้าเกิดเรื่องที่เกิดเป็นเพียงเรื่องที่จินตนการและเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่ดึงความจริงของสภาพแวดล้อมต่างไปมีเกี่ยวด้วย


อย่างเรื่องชายหาดที่อยู่ในความทรงจำตอนเด็กว่าเคยอยู่ร่วมอาศัย แต่เพราะค้นหาความจริงปรากฎว่าหาดริมทะเลไม่ได้มีอยู่จริง แล้วความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กมาจากไหน ลองคิดแบบพลิกแพลงคือการปลูกถ่ายความจำที่ด็อกเตอร์แดเนี่ยลเป็นคนทำนั้นเอง หรือการสร้างมนุษย์ด้วยการโคลนที่ค่อยๆเลี้ยงจนได้ระยะหนึ่งแล้วใส่ความจำโดยตรงไปทางสมอง แล้วกู่สร้างเรื่องเหมือนเป็นปกติให้จมปลักอยู่แต่เมืองนี่แห่งเดียว ซึ่งหนังทำได้เพรียบพร้อมมากๆกับเรื่องใช้จินตนการที่ล้ำยุคล้ำเวลาที่เสนอมาได้มืดบอดตามพล็อตเรื่องที่แทบไม่มีมูลหรือสาเหตุอันใด นอกจากความงงที่ตัวหนังเปิดมากับฉากจอห์นที่ตื่นขึ้นมาในโรงแรมที่พบว่าตัวเองไม่มีความทรงจำอะไรและจำไม่ได้เลยว่าตนเองคือใคร
ความเซอร์ไพร์เป็นปัจจัยหลักที่ตัวหนังยิ่งดำเนินยิ่งชัดเจนถึงข้อประสงค์ในความสงสัยได้อย่างน่าประหลาดเพราะมีการบวกความคิดด้านจินตนาการทำให้มีความคิดสร้างสรรค์และวิเคราะห์ได้ลึกและหลายรูปแบบที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าควรจะให้คำตอบกับเรื่องในรูปแบบไหนดี


เอฟเฟคจัดว่าเต็มที่แบบกระหน่ำของเรื่องจิตนาการที่เปลี่ยนเมืองด้วยการเปลี่ยนรูปร่างตึกหรือจะการเคลื่นย้ายบ้านเรือนที่ดูอลังการในแบบศิลป์ของความลึกลับ
การใช้ฉากถือว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมากและดูสมบูรณ์กินกับรูปลักษณ์ของตัวหนัง ทำให้เป็นหนังไซไฟที่ดูล้ำๆแบบมืดๆ ด้านนักแสดงจัดว่าดูเหมาะกับบททุกคน แต่กับ Jennifer Connelly เป็นอะไรที่ยิ่งเหมาะสมที่สุดกับการใช้เพราะตัวหนังมามืดจึงควรมีอะไรให้ดูสว่างๆบ้าง ซึงทำให้โทนหนังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างน่างงงวงและสงสัยจนอัดแน่นไปด้วยความเป็นหนังผสมระหว่างไซไฟกับแนวสืบสวนที่ใส่ความเครียดเข้ามา ที่สำคัญคือการเฉลยที่เนื้อเรื่องทำออกมาดีและนั้นที่ตัวหนังทำออกมาได้คุ้มกับตอนจบที่เหมือนเล่าใหม่

และที่น่าขบคิดจนเหมือนหนังปรัชญาค้นหาความจริงคือประโยคง่ายๆที่จอห์นบอกว่า"คุณไม่มีทางหาสิ่งที่คุณต้องการในนี้ได้หรอก เพราะมันไม่ได้อยู่ในนี้"(จอห์นชี้ไปที่หัวตัวเอง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น