วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

อันดับที่ 9

Moon (2009) ฝ่าวิกฤติระทึกโลกพระจันทร์
    

บนโลกที่ยิ่งใหญ่ยังเล็กไปกับการถูกมนุษย์ผลาญทรัพยากรจนเกือบหมด เมื่อปราศจากพลังงานธรรมชาติจำเป็นต้องหาแหล่งใหม่ที่ไม่ใช่โลกแต่เป็นดวงจันทร์ ซึ่งนั้นคือ"ฮีเลียม-3"ที่ได้มาจากดินบนผิวดวงจันทร์ ทำให้บริษัท Lunar Industries ก็เปิดสถานีอวกาศบนดวงจันทร์แห่งเดียว โดยลูกจ้างที่ประจำการอยู่มีแค่เพียงแซมเบล(Sam Rockwell) และหุ่นยนต์ของบริษัทที่ชื่อ GERTY(ให้เสียงโดย Kevin Spacey)เท่านั้น

    แซมเบลกับการปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ที่จำเจเกือบ 3 ปีกำลังจะได้กลับโลกเพราะสัญญาว่าจ้างที่กำลังหมดลง แต่ด้วยวิสัยที่ผิดแปลกไปเมื่อแซมเบลเจออุบัติเหตุแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วเขาต้องตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยอาการงุนงงและสงสัยเมื่อทราบว่าบางอย่างมีเบื้องหลังเพราะเขาเห็นตัวเองอีกคนและหุ่นยนต์ของเขากำลังปิดบังบางอย่างที่ตัวเขาเองมีส่วนเกี่ยวข้องแต่เป็นความลับ ซึ่งทำให้เขาต้องอึ้งกันไปสุดๆ

    แซมเบลกับการปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ที่จำเจเกือบ 3 ปีกำลังจะได้กลับโลกเพราะสัญญาว่าจ้างที่กำลังหมดลง แต่ด้วยวิสัยที่ผิดแปลกไปเมื่อแซมเบลเจออุบัติเหตุแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วเขาต้องตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยอาการงุนงงและสงสัยเมื่อทราบว่าบางอย่างมีเบื้องหลังเพราะเขาเห็นตัวเองอีกคนและหุ่นยนต์ของเขากำลังปิดบังบางอย่างที่ตัวเขาเองมีส่วนเกี่ยวข้องแต่เป็นความลับ ซึ่งทำให้เขาต้องอึ้งกันไปสุดๆ


   Moon เป็นหนังที่เรียกฝีมือนักแสดงแบบเดี่ยวๆได้ชัดเจนเพราะตลอดทั้งแทบเรื่อง Sam Rockwell แสดงอยู่คนเดียวพร้อมกับหุ่นยนต์ที่พูดคุยไปมาอย่างเป็นระเบียบกับเขาที่ถูกป้อนคำสั่งว่าจะช่วยเหลือตลอดเวลา จะว่าแล้วก็อดคิดถึงหนังคลาสสิคเรื่อง 2001: A Space Odyssey (1968) เป็นไม่ได้ เพราะรูปแบบที่อยู่คนเดียวในยานที่รายล้อมด้วยไปอวกาศกับหุ่นยนต์ที่โต้ตอบประดังคนที่พร้อมรับใช้ตลอดเวลาเป็นพล็อตที่ใกล้เคียงกันมากด้วยเหตุผลดังนี้การสร้างเรื่องนี่จึงได้รับแรงบันดาลใจที่จะต้องการเสนอในอีกรูปแบบหนึ่งที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงปรัชญาที่ดูแล้วเข้าใจทันที ซึ่งตรงข้ามกับ 2001: A Space Odyssey ที่ว่าด้วยเอกภพสุดปรัชญาศาสตร์ที่ทำหลายคนต่างคิดไปไกลและหลายคนที่ชมแล้วต้องงงเพราะการนำเสนอที่ชวนหลุดโลกสุดบรรเจิดที่ท่วมท้นด้วยความคิดที่มากมาย

    แซมเบลนั้นโดดเดี่ยวอย่างสิ้

    แซมเบลนั้นโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง นอกจากหุ่นยนต์ตัวหนึ่งแล้วกิจวัตรอย่างอื่นของเขาก็วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่พาอุ่นใจได้คงมีเพียงวีดีโอจากแฟนและลูกที่ส่งจากโลกให้รู้สึกอิ่มใจและมีความหวัง จนกระทั่งเวลา 3 ปีใกล้หมดลงการจะได้เจอครอบครัวก็ใกล้เข้ามา แต่จะให้ทำไงได้ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อความหวังต้องหมดลงกับความจริงที่สะท้านจิตใจ เพราะการทำงานของบริษัทที่ไม่ยอมสูญเสียทรัพยากรไปกลับดวงจันทร์ทำให้ความจริงมีอยู่ว่าแซมเบลคือโคลนนิ่งที่โคลนต่อๆมาโดยมีเวลาอายุขัยประมาณ 3 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่หมดวาระสัญญาพอดี นั้นแปลว่าเขาไม่มีทั้งความหวังหรืออนาคต ทั้งครอบครัวของเขาในตอนนี้ก็กลายเป็นครอบครัวคนอื่นไปแล้ว ความโดดเดี่ยวยิ่งคลุมเคล้าจิตใจ แต่เขาไม่ได้ละทิ้งเวลาให้สูญเปล่าเมื่อเขาคิดจะหนีไปโลกโดยที่ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งเพื่อนหุ่นยนต์ของเขาก็ตาม




   กับเรื่องลงทุนต่ำประมาณ 5 ล้านเหรียญ แต่ใช้ไซไฟและเอฟเฟคของเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม สร้างบรรยากาศบนดวงจันทร์ออกมาได้อย่างดูดีและน่าเชื่อถือ และที่พาให้ผู้ชมอรรถรสได้ดีตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่องคือเพลงประกอบที่สัมผัสถึงความหวังเล็กๆที่ฟังแล้วเป็นเรื่องน่าอัศจรย์ใจ จะบอกว่าเพลงประกอบเป็นอะไรที่ลงตัวและเข้ากับเนื้อเรื่องมากๆ

   ถ้าบอกว่าการแสดงคนเดียวที่

   ถ้าบอกว่าการแสดงคนเดียวที่เหมา One Show Man นั้นอาจดูน่าเบื่อเพราะผู้ชมต้องเจอกับหน้าเดิมๆตลอดเวลา แต่ยังจะเบื่อไหมถ้าหน้าเดิมๆมี 2 คนที่ต่างประสานกันอย่างมีชีวิตชีวา และเนื้อเรื่องที่เหมือนจะไม่มีอะไรแต่กลับมีให้คิดมากกว่านั้นมากด้วยบทบาทเนื้อเรื่องที่แน่นชวนน่าตื่นตามตลอดเวลา อย่างหุ่นยนต์ GERTY ที่ผู้ชมคิดว่าเป็นตัวปัญหา แต่จริงๆแล้วเป็นเสมือนมิตรดีๆที่คอยเป็นผู้ช่วยเบื้องหลังเรามาตลอดเพียงแค่มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำเพราะเป็นคำสั่ง

  
   จะว่าหุ่นยนต์ GERTY ยังดูซื่อสัตย์กับแซมเบลได้อย่างสนิทสนม อย่างตอนที่แซมเบลถามว่า"ทำแบบนี่ไม่ขัดต่อโปรแกรมคำสั่งหรอ" GERTY ก็ตอบแบบที่ว่าใครฟังก็ปลื้มแบบสุดๆ"ผมทำเพื่อช่วยเหลือคุณ" เมื่อได้ยินแบบนี่ต่างก็คิดว่าแม้เป็นเครื่องจักรยังรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองจนถึงที่สุด


   Moon เป็นหนังที่ทำไปทำมากลายเป็นหนังดราม่าที่ดูแล้วสะเทือนใจ ตัวเรื่องเปิดมากับแซมเบลที่ดูวีดิโอที่ถูกส่งมาตลอดซึ่งเราก็เห็นกันอย่างชัดเจน จนไปรู้ถึงความจริงต่างๆที่ผู้ชมต้องมองว่าเป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุดอีกเรื่อง ทั้งที่ดูมีความหวังและความสุขแท้ๆกลับกลายเป็นเศร้า ซึ่งในเวลาต่อมาต้องเข้าใจและยอมรับความจริงให้ได้ ตัวเรื่องได้สอนการเสียสละที่ดูแล้วประทับใจและเข้าใจดีว่ามันเป็นโอกาสที่เราต้องทำเพื่อบางสิ่งและเพื่อใครสักคน จะว่าแล้วเป็นหนังชีวิตที่ลงด้วยความหวังและดำเนินไปด้วยความเลวร้ายและจบลงอย่างปาฏิหาริย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังใหม่อย่างมีพลัง

   
   Moon เป็นภาพยนตร์จากประเทศอังกฤษ ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์อิสระยอดเยี่ยม และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมที่เพิ่งเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรก ในงาน British Academy Film Awards ปี 2009 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น