วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

อันดับที่ 1

2001: A Space Odyssey
 {Stanley Kubrick}, 1968


เรื่องย่อ

เริ่มต้นด้วยการแช่ภาพสีดำขึ้นบนจอ เป็นดั่งการเชื้อเชิญ และทำให้ผู้ชมเสมือนหลุดออกจากพันธนการทั้งปวง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าง ปล่าวเปลี่ยว และน่าค้นหา ต่อมาจึงเป็นการขึ้นชื่อหนังด้วยการปรากฎภาพของโลกที่เราอาศัยอยู่ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกัน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่บทที่หนึ่ง

The Dawn of Man (อรุณรุ่งของหมู่มวลมนุษย์)

เป็นเรื่องราวของกลุ่มวานร บรรพชนของพวกเรา ที่ดั้งเดิมจัดอยู่ในกลุ่มพวกกินพืชเช่นเดียวกับสัตว์ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับสมเสร็จ พวกวานรอาศัยอยู่สถานที่ที่มีแหล่งน้ำท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุใท้องทุ่งหญ้าทะเลทรายในแอฟริกา เหตุการ์ต่างๆดูเป็นกิจวัตรปกติ จนเมื่อมีเสือดาวมาคร่าชีวิตของสมาชิกตัวหนึ่งไป พวกเขาได้รับรู้ว่า ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ได้กินพืชเช่นเดียวกับพวกตน ต่อมามีการรุกรานของวานรีกกลุ่ม ทำให้พวกเขาต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่น ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนจากสภาพความสงบสุขการเป็นความเงียบเหงาเศร้าสร้อย จนเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาค้นพบกับแท่งหินสีดำ รูปร่างแปลกตาอยู่ตรงหน้า ราวกับมีใครมาตั้งไว้อย่างจงใจ อย่างไม่ต้องสงสัย ในยุคสมัยเมื่อสี่ล้านปีที่แล้ว แม้ปัญญาชนอย่างมนุษย์ยังไม่ได้วิวัฒนาการถึงขั้นสูง คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิ่งมีชีวิตที่มีพลังภูมิปัญญาเหนือกว่า และรุดหน้าไปกว่าบรรพบุรุษเรา

หลังจากนั้นเสมือนว่าแท่งหินไปดลจิตดลใจสร้างแรงขับบางอย่างแก่หมู่วานรที่เคยยอมศิโรราปให้ลุกขึ้นต่อสู้และกลับไปแย่งชิงดินแดนของตนมาให้ได้ แท่งหินนั้นสร้างทั้งความกล้า ในขณะเดียวกันมันก็มอบความโหดร้ายให้กับบรรพชนของเรา และมันได้แฝงเร้นในดวงจิตเรามาเนิ่นนาน รอเมื่อเราไม่ได้สติและไม่อาจควบคุม มันก็จะออกมาอาละวาด และสร้างความเสียหายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หมู่วานรเริ่มฆ่าสัตว์ที่คุ้นเคย และมีกระดูดเป็นอาวุธ ภาพถูกตัดแบบแมทช์คัท เมื่อเจ้าวานรตัวหนึ่งโยนกระดูกขึ้นบนฟ้าเพื่อเป็นการขับไล่และแสดงถึงความมีอำนาจในการยึดครองพิ้นที่ กระดูกถุกนำไปเปรียบเทียบเช่นเดียวกับยาอวกาศในยุคสมัยปัจจุบัน



ภาพตัดมาโดยไม่ได้ขึ้นชื่อตอนใหม่ เป็นเหมือนการบอกว่าเรื่องราวเมื่อสี่ล้านปีก่อนกับปัจจุบัน ก็คือเรื่องเดียวกัน ซึ่งนั่นถือเป็นการตัดต่อช่วงเวลาที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนับจากวันนั้น วันที่เหล่าวานรเกิดบ้าคลั้งจนถึงวันนี้ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็กินเวลากว่าสี่ล้านปี ราวกับโผล่มาอีกมิติ อันเป็นเรื่องราวของ Dr. Heywood R. Floyd ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยานอวกาศแพนแอม เพื่อที่เขาจะไปศึกษาการค้นพบ แท่งหินสีดำที่ฐานคลาเวียสบนดวงจันทร์ นวัตกรรมต่างๆบนยานลำนั้นล้วนรุดหน้าไปกว่าบนพื้นผิวโลกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำ Facetime กับคนในครอบครัว (ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติของเราในสมัยนี้) ระบบ Voice-Over ซึ่งเราสามารถสนทนากับเครื่องจักรเพื่อยืนยันตัวตนได้ หรือจะเป็นรองเท้าซึ่งเราสามารถยึดอยู่กับพื้นและไม่หลุดลอยไปเพราะสภาพไร้นำ้หนัก ที่ยานแพนแอม ฟลอยด์มีโอกาสได้คุยกับนักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตเกี่ยวกับเรื่องราวโรคระบาดและสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่ฐานคลาเวียส แต่ฟลอยด์ปฎิเสธการพูดถึง และทิ้งปริศนาให้คาใจแก่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียด เมื่อเขาไปถึงดวงจันทร์และไปพบกับแท่งหินประหลาด ขณะที่พวกเขากำลีงตื่นเต้นและเก็บรูปเอาไว้เป็นที่ประทับใจ ก็มีเสียงประหลาดหวีดร้องออกมาจากแท่งหิน สร้างความกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยทั้งต่อฟลอยด์ ผองเพื่อนเขา และเหล่าคนดู

Jupiter Mission (ภารกิจดาวพฤหัสฯ)
จู่ๆ เราก็มาโผล่เมื่อเหตุการณ์ได้พูดถึงเรื่องราวสิบแปดเดือนหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น บนยานอวกาศ Discovery One ของสหรัฐฯ (หากลองสังเกตยานลำนี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ประกอบด้วยหัว ตัวและขาที่ไว้ขับเคลื่อนยาน) คนห้าคนซึ่งสามในห้าถูกทำให้อยู่ในสภาพไร้สติและหลับไหล เพื่อประหยัดการใช้จ่ายวัตถุดิบต่างๆบนยาน เหลือเพียงนักบินสองนายได้แก่ Dr. David Bowman และ Dr. Frank Poole กับปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า HAL 9000 เขาเป็นเสมือนลูกเรือคนที่หก ที่ทำหน้าที่ดูแลสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างบนยานลำนั้น จนเมื่อทั้งเดฟและแฟรงค์ค้นพบว่าฮาลที่อ้างว่าตนไม่เคยประมวลผลผิดพลาด และกล่าวหาว่า เพราะมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มันผิดพลาด ทั้งคู่แอบปรึกษากันอย่างลับๆ และวางแผนกับว่าจะปิดระบบปฎิบัติการนี้
Intermission (พักครึ่ง) [ซึ่งตอนนี้ก็ปรากฎภาพจอดำและดนตรีเช่นเดิม คงเป็นช่วงให้เราได้ขบคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา]
แต่จนแล้วจนรอดฮาลก็แอบล่วงรู้ถึงแผนการที่กำลังจะเกิดขึ้น อันนำมาซึ่งความสูญเสียของลูกเรือ มีเพียงเดฟที่รอดชีวิตกลับมาได้ เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วการเดินทางในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่มากกว่าการไปถึงที่ดาวพฤหัสฯ แต่เป็นเพื่อเมื่อสิบแปดเดือนก่อนมีสัญญาณวิทยุปล่อยออกมาจากแท่งหินซึ่งมีเป้าหมายมาจากดาวพฤหัสฯ เขาจึงตกสภาพเป็นตัวแทนของเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้สงสัยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ดาวดวงนั้นกันแน่ เมื่อเขาไปถึงและได้ใช้ยานลำเล็กเพื่อออกไปสำรวจพื้นผิวบนดาว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

Jupiter and Beyond the Infinite (ดาวพฤหัส และจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด)
เดฟเดินทางข้ามมิติและไปพบกับดินแดนที่แปลกตา (อันที่จริงก็เหมือนภูมิประเทศบนโลกเรา เพียงแต่ราวกับถูกย้อมสีสัน) ทันทีทันใดเดฟก็มาปรากฎที่ห้องพักสไตล์นีโอคลาสสิคคล้ายกับในโรงแรม ณ แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาเห็นตัวเองค่อยๆแก่ลง และท้ายที่สุดก็นอนบนเตียงอย่างไร้ซี่งเรี่ยวแรง เขาพบกับแท่งหินดำอยู่ปลายเตียง เขาพยามยามเอื้อมจะเอามือไปแตะ และแล้วภาพก็ตัดมา เมื่อเดฟในวัยชราใกล้สิ้นลมกลายเป็นเด็กทารกที่ถูกห้อมล้อมด้วยลำแสง และเขาก็จ้องมองไปยังโลกใบเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่

สัญญะหรือโมทิฟที่พอจะหยิบจับได้

ฉากมืดในตอนแรก พลันให้เรานึกถึงเรื่องราวการสร้างตะวันและเดือนใน The book of Genesis ที่ว่าในตอนแรกโลกยังไม่มีดวงอาทิตย์ แล้วพระเจ้าก็บอกให้มีดวงอาทิตย์ ดังเช่นในหนังที่ตอนแรกดำมืดแล้วจู่ๆ ก็มีแสงอาทิตย์และเราก็เห็นโลกและดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์ เป็นตัวแทนของการรู้แจ้ง เห็นจริง เข้าใจและรับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ เอื้อเฟื้อ มีความเมตตา และรู้จักควบคุมสัญชาติญาณร้ายของตนเองได้ นั่นคือไม่เห็นแก่ตัว

ดวงจันทร์ ต้องขอกล่าวก่อนว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างในช่วงสงครามเย็น กล่าวคือ สงครามอย่างลับๆ ระหว่างสองมหาอำนาจทางความคิดนั่นคือ สหรัฐฯ (ทุนนิยม) และโซเวียต (สังคมนิยม) สองชาติต่างแข่งขันกันเพื่อชักชวนให้ประเทศต่างๆเข้ามาเป็นพวกพ้องของตนเองผ่านโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นั่นคือการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของตน และเปลี่ยนให้ประเทศต่างๆมีความเชื่อในแบบเดียวกับตน หนึ่งในวิธีการที่สองประเทศใช้คือ การห้ำหั่นแย่งชิงพื้นที่ในอวกาศ เช่น การไปถึงดวงจันทร์ ดังนั้นดวงจันทร์จึงแทนความหมายตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ นั่นคือความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์​ ล้างผลาญ แย่งชิงความดีเด่นกัน เพื่ออำนาจและการชื่นชมยินดีให้แก่ตนเอง

แท่งหินสีดำ (The Monolith) ความจริงแล้วตั้งแต่ที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย ก็มีการตีความแท่งหินไปต่างๆนานาหลากหลาย โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า มันป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่มีสองด้าน หากลองสังเกตดู จะมีด้านที่เป็นดวงจันทร์กับด้านที่เป็นดวงอาทิตย์ และในสองครั้งที่หินสีดำปรากฎ (ไม่รวมในห้องของเดฟ) จะถ่ายแบบ low angle และเห็นดวงอาทิตยือีกด้านของหิน นั่นหมายถึง ตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าวานรที่รู้จักใช้อาวุธเพื่อฆ่าแกงเพื่อนสายพันธุ์เดียวกันหรือมนุษย์บนดวงจันทร์ที่กำลังชื่นชมยินดีกับการค้นพบและไปเหยียบดวงจันทร์ของตนเองเมื่อสี่ล้านปีต่อมา ต่างก็เลือกจุดยืนด้านดวงจันทร์ นั่นคือ เราต่างอยู่ใต้การบงการของสัตว์ร้ายในจิตใจมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง แท่งหินเป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา มันจึงแทนถึงภาวะที่ตัวละครคิดตัดสินใจระหว่างด้านดีหรือด้านชั่วร้าย


เราสังเกตจากในหนังว่ายิ่งเวลาผ่านไป เรายิ่งมีความเป็นมนุษย์เหลือน้อยลง ตั้งแต่อดีตกาลที่บรรพชนเราเป็นวานรอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกินพืช ต่อมาเจอแท่งหิน (การตัดสินใจครั้งที่หนึ่ง) เลือกด้านเลวร้าย มาจนถึงบนยานอวกาศแพนแอมเรายังพอมีความดีงามหลงเหลือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังคงอยู่ใต้การควบคุมของเรา บทสนทนาระหว่างพ่อลูกยังดูชื่นมื่น อาหารการกินก็ยังไม่ต่างจากบนพื้นดินมากเท่าไหร่ เพียงแต่ต่างกันที่บรรจุภัณฑ์ แต่พอมาบนยาน Discovery One เราแทบไม่มีความดีงานหลงเหลือจับมนุษย์ให้จำศีลราวกับสัตว์ บทสนทนาระหว่างพ่อแม่ลูก ก็นิ่งเฉย ไร้อารมณ์ (ในฉากนั้นถูกเน้นย้ำด้วยแสงแดดปลอม แสดงถึงดวงอาทิตย์เทียม จิตใจคนมีด้านดีงามที่จอมปลอม) อาหารเหลวสีสันแปลกตาที่แตกต่างจากที่ผ่านมาชัดเจน และปัญญาประดิษฐ์มีความชาญฉลาดมากกว่าคน (out-of-control)

ฮัล ปัญญาประดิษฐ์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งมีความชาญฉลาดมากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่กลับหยิ่งยะโสทะนงตน และไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตน เพราะแท้จริงแล้วฮัลก็เป็นผลผลิตมาจากมนุษย์นั่นเอง ซึ่งมนุษย์ก็มีความผิดพลาด (ถูกฮัลตอกกลับในคราวที่เดฟและแฟรงค์ติฮัลว่าผิดพลาด) อีกนัยหนึ่งก็หมายถึงว่าในยุคสมัยนี้ มนุษย์ได้ให้ความสำคัญและยกยอให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ยอมที่จะสละชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อให้เทคโนโลยียังคงอยู่ (เห็นได้ชัดจากการแย่งชิงพื้นที่บนอวกาศของสองมหาอำนาจ และสงครามที่เกิดอันเนื่องมาจากสงครามเย็น เช่น สงครามเกาหลี หรือสงครามเวียตนาม)

Discovery One อุปมาอุปมัยเหมือนโลกใบนี้ที่เราอยู่อาศัย ประกอบด้วยอุดมการณ์สองขั้วที่ดำรงอยู่ โดยมีเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศยกไว้เหนือหัว คนสามคนที่หลับไหลจึงเป็นตัวแทนของโลกที่สาม (อันได้แก่อเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียบางส่วน) ที่ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และตกเป็นเหยื่อของเคราะห์กรรมที่สองประเทศได้ทำไว้ สียานและชุดอวกาศก็ชวนให้เราคิดถึงสีธงชาติของอเมริกา (นำ้เงิน แดง ขาว) กับโซเวียต (แดง ส้ม)
การสำรวจหรือค้นพบดาวพฤหัสฯ ของเดฟ แสดงถึงการยังไม่อาจคุมจิตใจตัวเองได้ นั่นคือยังมีจิตใจที่ต้องการเอาชนะโซเวียต (ใครยิ่งค้นพบอะไรในอวกาศได้มากกว่าก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น)

การหลุดเข้าไปในมิติ หลังจากเห็นแท่งหินสีดำลอยอยู่บนฟ้า จึงเป็นเหมือนการที่เดฟได้กลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง
ห้องที่ตบแต่งสไตล์นีโอคลาสสิค สไตล์นีโอคลาสสิคเป็นศิลปะภายหลังจากยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) นั่นคือ ยุคที่มีการชักชวนให้ผู้คนเลิกสนใจในศาสนา เลิกศรัทธาในพระเจ้า และหันมาพัฒนาทางด้านวิทยาศาส นั่นทำให้คนเรามีแต่ความเจริญด้านวัตถุ แต่ด้านจิตใจกับถอยหลังลดน้อยลง จึงหมายถึงว่า เดฟยังไม่อาจลุล่วงเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ได้

ในฉากที่เดฟยื่นมือเข้าไปหาแท่งหินดำในตอนท้าย คล้ายกับอดัมในภาพของมิเกลันเจโล ชื่อ The Creation of Adam ซึ่งในภาพนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของอดัม มนุษย์ที่ศรัทธาในความดีงาม เช่นเดียวกับเดฟที่บัดนี้เขาได้เข้าใจและซาบซึ้งในพระเจ้า ต่อมาเป็นภาพของเด็กทารก จึงแสดงถึงว่าเขาได้เกิดใหม่ และเข้าใจถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์แล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น