2001: A Space Odyssey
{Stanley Kubrick}, 1968
เรื่องย่อ
เริ่มต้นด้วยการแช่ภาพสีดำขึ้นบนจอ
เป็นดั่งการเชื้อเชิญ และทำให้ผู้ชมเสมือนหลุดออกจากพันธนการทั้งปวง
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าง ปล่าวเปลี่ยว และน่าค้นหา ต่อมาจึงเป็นการขึ้นชื่อหนังด้วยการปรากฎภาพของโลกที่เราอาศัยอยู่
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกัน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่บทที่หนึ่ง
The Dawn of
Man (อรุณรุ่งของหมู่มวลมนุษย์)
เป็นเรื่องราวของกลุ่มวานร บรรพชนของพวกเรา
ที่ดั้งเดิมจัดอยู่ในกลุ่มพวกกินพืชเช่นเดียวกับสัตว์ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับสมเสร็จ
พวกวานรอาศัยอยู่สถานที่ที่มีแหล่งน้ำท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุใท้องทุ่งหญ้าทะเลทรายในแอฟริกา
เหตุการ์ต่างๆดูเป็นกิจวัตรปกติ จนเมื่อมีเสือดาวมาคร่าชีวิตของสมาชิกตัวหนึ่งไป
พวกเขาได้รับรู้ว่า ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ได้กินพืชเช่นเดียวกับพวกตน
ต่อมามีการรุกรานของวานรีกกลุ่ม ทำให้พวกเขาต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่น
ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนจากสภาพความสงบสุขการเป็นความเงียบเหงาเศร้าสร้อย จนเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น
พวกเขาค้นพบกับแท่งหินสีดำ รูปร่างแปลกตาอยู่ตรงหน้า
ราวกับมีใครมาตั้งไว้อย่างจงใจ อย่างไม่ต้องสงสัย ในยุคสมัยเมื่อสี่ล้านปีที่แล้ว
แม้ปัญญาชนอย่างมนุษย์ยังไม่ได้วิวัฒนาการถึงขั้นสูง
คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิ่งมีชีวิตที่มีพลังภูมิปัญญาเหนือกว่า
และรุดหน้าไปกว่าบรรพบุรุษเรา
หลังจากนั้นเสมือนว่าแท่งหินไปดลจิตดลใจสร้างแรงขับบางอย่างแก่หมู่วานรที่เคยยอมศิโรราปให้ลุกขึ้นต่อสู้และกลับไปแย่งชิงดินแดนของตนมาให้ได้
แท่งหินนั้นสร้างทั้งความกล้า ในขณะเดียวกันมันก็มอบความโหดร้ายให้กับบรรพชนของเรา
และมันได้แฝงเร้นในดวงจิตเรามาเนิ่นนาน รอเมื่อเราไม่ได้สติและไม่อาจควบคุม
มันก็จะออกมาอาละวาด และสร้างความเสียหายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หมู่วานรเริ่มฆ่าสัตว์ที่คุ้นเคย และมีกระดูดเป็นอาวุธ ภาพถูกตัดแบบแมทช์คัท
เมื่อเจ้าวานรตัวหนึ่งโยนกระดูกขึ้นบนฟ้าเพื่อเป็นการขับไล่และแสดงถึงความมีอำนาจในการยึดครองพิ้นที่
กระดูกถุกนำไปเปรียบเทียบเช่นเดียวกับยาอวกาศในยุคสมัยปัจจุบัน
ภาพตัดมาโดยไม่ได้ขึ้นชื่อตอนใหม่
เป็นเหมือนการบอกว่าเรื่องราวเมื่อสี่ล้านปีก่อนกับปัจจุบัน ก็คือเรื่องเดียวกัน
ซึ่งนั่นถือเป็นการตัดต่อช่วงเวลาที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนับจากวันนั้น
วันที่เหล่าวานรเกิดบ้าคลั้งจนถึงวันนี้ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
ก็กินเวลากว่าสี่ล้านปี ราวกับโผล่มาอีกมิติ อันเป็นเรื่องราวของ Dr. Heywood R. Floyd ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยานอวกาศแพนแอม
เพื่อที่เขาจะไปศึกษาการค้นพบ “แท่งหินสีดำ” ที่ฐานคลาเวียสบนดวงจันทร์
นวัตกรรมต่างๆบนยานลำนั้นล้วนรุดหน้าไปกว่าบนพื้นผิวโลกหลายเท่าตัว
ไม่ว่าจะเป็นการทำ Facetime
กับคนในครอบครัว
(ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติของเราในสมัยนี้) ระบบ Voice-Over ซึ่งเราสามารถสนทนากับเครื่องจักรเพื่อยืนยันตัวตนได้
หรือจะเป็นรองเท้าซึ่งเราสามารถยึดอยู่กับพื้นและไม่หลุดลอยไปเพราะสภาพไร้นำ้หนัก
ที่ยานแพนแอม
ฟลอยด์มีโอกาสได้คุยกับนักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตเกี่ยวกับเรื่องราวโรคระบาดและสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่ฐานคลาเวียส
แต่ฟลอยด์ปฎิเสธการพูดถึง และทิ้งปริศนาให้คาใจแก่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียด
เมื่อเขาไปถึงดวงจันทร์และไปพบกับแท่งหินประหลาด
ขณะที่พวกเขากำลีงตื่นเต้นและเก็บรูปเอาไว้เป็นที่ประทับใจ
ก็มีเสียงประหลาดหวีดร้องออกมาจากแท่งหิน
สร้างความกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยทั้งต่อฟลอยด์ ผองเพื่อนเขา และเหล่าคนดู
Jupiter
Mission (ภารกิจดาวพฤหัสฯ)
จู่ๆ
เราก็มาโผล่เมื่อเหตุการณ์ได้พูดถึงเรื่องราวสิบแปดเดือนหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น
บนยานอวกาศ Discovery One
ของสหรัฐฯ
(หากลองสังเกตยานลำนี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ประกอบด้วยหัว
ตัวและขาที่ไว้ขับเคลื่อนยาน) คนห้าคนซึ่งสามในห้าถูกทำให้อยู่ในสภาพไร้สติและหลับไหล
เพื่อประหยัดการใช้จ่ายวัตถุดิบต่างๆบนยาน เหลือเพียงนักบินสองนายได้แก่ Dr. David Bowman และ
Dr. Frank Poole กับปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า
HAL 9000
เขาเป็นเสมือนลูกเรือคนที่หก ที่ทำหน้าที่ดูแลสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างบนยานลำนั้น
จนเมื่อทั้งเดฟและแฟรงค์ค้นพบว่าฮาลที่อ้างว่าตนไม่เคยประมวลผลผิดพลาด
และกล่าวหาว่า เพราะมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มันผิดพลาด
ทั้งคู่แอบปรึกษากันอย่างลับๆ และวางแผนกับว่าจะปิดระบบปฎิบัติการนี้
Intermission
(พักครึ่ง)
[ซึ่งตอนนี้ก็ปรากฎภาพจอดำและดนตรีเช่นเดิม
คงเป็นช่วงให้เราได้ขบคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา]
แต่จนแล้วจนรอดฮาลก็แอบล่วงรู้ถึงแผนการที่กำลังจะเกิดขึ้น
อันนำมาซึ่งความสูญเสียของลูกเรือ มีเพียงเดฟที่รอดชีวิตกลับมาได้
เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วการเดินทางในครั้งนี้
มีจุดมุ่งหมายที่มากกว่าการไปถึงที่ดาวพฤหัสฯ
แต่เป็นเพื่อเมื่อสิบแปดเดือนก่อนมีสัญญาณวิทยุปล่อยออกมาจากแท่งหินซึ่งมีเป้าหมายมาจากดาวพฤหัสฯ
เขาจึงตกสภาพเป็นตัวแทนของเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้สงสัยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ดาวดวงนั้นกันแน่
เมื่อเขาไปถึงและได้ใช้ยานลำเล็กเพื่อออกไปสำรวจพื้นผิวบนดาว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
Jupiter and
Beyond the Infinite (ดาวพฤหัส และจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด)
เดฟเดินทางข้ามมิติและไปพบกับดินแดนที่แปลกตา
(อันที่จริงก็เหมือนภูมิประเทศบนโลกเรา เพียงแต่ราวกับถูกย้อมสีสัน)
ทันทีทันใดเดฟก็มาปรากฎที่ห้องพักสไตล์นีโอคลาสสิคคล้ายกับในโรงแรม ณ
แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาเห็นตัวเองค่อยๆแก่ลง
และท้ายที่สุดก็นอนบนเตียงอย่างไร้ซี่งเรี่ยวแรง เขาพบกับแท่งหินดำอยู่ปลายเตียง
เขาพยามยามเอื้อมจะเอามือไปแตะ และแล้วภาพก็ตัดมา
เมื่อเดฟในวัยชราใกล้สิ้นลมกลายเป็นเด็กทารกที่ถูกห้อมล้อมด้วยลำแสง
และเขาก็จ้องมองไปยังโลกใบเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่
สัญญะหรือโมทิฟที่พอจะหยิบจับได้
ฉากมืดในตอนแรก
พลันให้เรานึกถึงเรื่องราวการสร้างตะวันและเดือนใน The book of Genesis ที่ว่าในตอนแรกโลกยังไม่มีดวงอาทิตย์
แล้วพระเจ้าก็บอกให้มีดวงอาทิตย์ ดังเช่นในหนังที่ตอนแรกดำมืดแล้วจู่ๆ
ก็มีแสงอาทิตย์และเราก็เห็นโลกและดวงจันทร์
ดวงอาทิตย์ เป็นตัวแทนของการรู้แจ้ง เห็นจริง
เข้าใจและรับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ เอื้อเฟื้อ
มีความเมตตา และรู้จักควบคุมสัญชาติญาณร้ายของตนเองได้ นั่นคือไม่เห็นแก่ตัว
ดวงจันทร์
ต้องขอกล่าวก่อนว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างในช่วงสงครามเย็น กล่าวคือ
สงครามอย่างลับๆ ระหว่างสองมหาอำนาจทางความคิดนั่นคือ สหรัฐฯ (ทุนนิยม) และโซเวียต
(สังคมนิยม)
สองชาติต่างแข่งขันกันเพื่อชักชวนให้ประเทศต่างๆเข้ามาเป็นพวกพ้องของตนเองผ่านโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ
นั่นคือการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของตน
และเปลี่ยนให้ประเทศต่างๆมีความเชื่อในแบบเดียวกับตน
หนึ่งในวิธีการที่สองประเทศใช้คือ การห้ำหั่นแย่งชิงพื้นที่ในอวกาศ เช่น
การไปถึงดวงจันทร์ ดังนั้นดวงจันทร์จึงแทนความหมายตรงข้ามกับดวงอาทิตย์
นั่นคือความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์ ล้างผลาญ แย่งชิงความดีเด่นกัน
เพื่ออำนาจและการชื่นชมยินดีให้แก่ตนเอง
แท่งหินสีดำ (The Monolith) ความจริงแล้วตั้งแต่ที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย
ก็มีการตีความแท่งหินไปต่างๆนานาหลากหลาย โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า
มันป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่มีสองด้าน หากลองสังเกตดู
จะมีด้านที่เป็นดวงจันทร์กับด้านที่เป็นดวงอาทิตย์ และในสองครั้งที่หินสีดำปรากฎ
(ไม่รวมในห้องของเดฟ) จะถ่ายแบบ low
angle และเห็นดวงอาทิตยือีกด้านของหิน นั่นหมายถึง
ตัวละครในเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าวานรที่รู้จักใช้อาวุธเพื่อฆ่าแกงเพื่อนสายพันธุ์เดียวกันหรือมนุษย์บนดวงจันทร์ที่กำลังชื่นชมยินดีกับการค้นพบและไปเหยียบดวงจันทร์ของตนเองเมื่อสี่ล้านปีต่อมา
ต่างก็เลือกจุดยืนด้านดวงจันทร์ นั่นคือ
เราต่างอยู่ใต้การบงการของสัตว์ร้ายในจิตใจมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
แท่งหินเป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา มันจึงแทนถึงภาวะที่ตัวละครคิดตัดสินใจระหว่างด้านดีหรือด้านชั่วร้าย
เราสังเกตจากในหนังว่ายิ่งเวลาผ่านไป
เรายิ่งมีความเป็นมนุษย์เหลือน้อยลง
ตั้งแต่อดีตกาลที่บรรพชนเราเป็นวานรอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกินพืช ต่อมาเจอแท่งหิน
(การตัดสินใจครั้งที่หนึ่ง) เลือกด้านเลวร้าย มาจนถึงบนยานอวกาศแพนแอมเรายังพอมีความดีงามหลงเหลือ
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังคงอยู่ใต้การควบคุมของเรา บทสนทนาระหว่างพ่อลูกยังดูชื่นมื่น
อาหารการกินก็ยังไม่ต่างจากบนพื้นดินมากเท่าไหร่ เพียงแต่ต่างกันที่บรรจุภัณฑ์
แต่พอมาบนยาน Discovery
One เราแทบไม่มีความดีงานหลงเหลือจับมนุษย์ให้จำศีลราวกับสัตว์
บทสนทนาระหว่างพ่อแม่ลูก ก็นิ่งเฉย ไร้อารมณ์ (ในฉากนั้นถูกเน้นย้ำด้วยแสงแดดปลอม
แสดงถึงดวงอาทิตย์เทียม จิตใจคนมีด้านดีงามที่จอมปลอม)
อาหารเหลวสีสันแปลกตาที่แตกต่างจากที่ผ่านมาชัดเจน
และปัญญาประดิษฐ์มีความชาญฉลาดมากกว่าคน (out-of-control)
ฮัล ปัญญาประดิษฐ์
เป็นตัวแทนของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งมีความชาญฉลาดมากขึ้นกว่าสมัยก่อน
แต่กลับหยิ่งยะโสทะนงตน และไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตน
เพราะแท้จริงแล้วฮัลก็เป็นผลผลิตมาจากมนุษย์นั่นเอง ซึ่งมนุษย์ก็มีความผิดพลาด
(ถูกฮัลตอกกลับในคราวที่เดฟและแฟรงค์ติฮัลว่าผิดพลาด)
อีกนัยหนึ่งก็หมายถึงว่าในยุคสมัยนี้
มนุษย์ได้ให้ความสำคัญและยกยอให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
ยอมที่จะสละชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อให้เทคโนโลยียังคงอยู่
(เห็นได้ชัดจากการแย่งชิงพื้นที่บนอวกาศของสองมหาอำนาจ และสงครามที่เกิดอันเนื่องมาจากสงครามเย็น
เช่น สงครามเกาหลี หรือสงครามเวียตนาม)
Discovery
One อุปมาอุปมัยเหมือนโลกใบนี้ที่เราอยู่อาศัย
ประกอบด้วยอุดมการณ์สองขั้วที่ดำรงอยู่
โดยมีเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศยกไว้เหนือหัว
คนสามคนที่หลับไหลจึงเป็นตัวแทนของโลกที่สาม (อันได้แก่อเมริกาใต้ แอฟริกา
และเอเชียบางส่วน) ที่ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
และตกเป็นเหยื่อของเคราะห์กรรมที่สองประเทศได้ทำไว้
สียานและชุดอวกาศก็ชวนให้เราคิดถึงสีธงชาติของอเมริกา (นำ้เงิน แดง ขาว)
กับโซเวียต (แดง ส้ม)
การสำรวจหรือค้นพบดาวพฤหัสฯ ของเดฟ
แสดงถึงการยังไม่อาจคุมจิตใจตัวเองได้ นั่นคือยังมีจิตใจที่ต้องการเอาชนะโซเวียต
(ใครยิ่งค้นพบอะไรในอวกาศได้มากกว่าก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น)
การหลุดเข้าไปในมิติ
หลังจากเห็นแท่งหินสีดำลอยอยู่บนฟ้า จึงเป็นเหมือนการที่เดฟได้กลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง
ห้องที่ตบแต่งสไตล์นีโอคลาสสิค
สไตล์นีโอคลาสสิคเป็นศิลปะภายหลังจากยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) นั่นคือ
ยุคที่มีการชักชวนให้ผู้คนเลิกสนใจในศาสนา เลิกศรัทธาในพระเจ้า
และหันมาพัฒนาทางด้านวิทยาศาส นั่นทำให้คนเรามีแต่ความเจริญด้านวัตถุ
แต่ด้านจิตใจกับถอยหลังลดน้อยลง จึงหมายถึงว่า
เดฟยังไม่อาจลุล่วงเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ได้
ในฉากที่เดฟยื่นมือเข้าไปหาแท่งหินดำในตอนท้าย
คล้ายกับอดัมในภาพของมิเกลันเจโล ชื่อ The Creation of Adam ซึ่งในภาพนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของอดัม
มนุษย์ที่ศรัทธาในความดีงาม
เช่นเดียวกับเดฟที่บัดนี้เขาได้เข้าใจและซาบซึ้งในพระเจ้า ต่อมาเป็นภาพของเด็กทารก
จึงแสดงถึงว่าเขาได้เกิดใหม่ และเข้าใจถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น